ความหมายของอาหาร​

ความหมายของอาหาร​

ความหมายของอาหาร  (The Meaning of Food)

ผู้ไม่ยอมรับ​(Disclaimer):เนื่องจากผู้คนมักจะสะเทือนอารมณ์ได้มากเกี่ยวกับเรื่องของอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวตะวันตก ผู้ที่มีวัฒนธรรมอาหารที่ตกเป็นเหยื่อของโลกแห่งโลกาภิวัตน์และเป็นผู้ที่ไม่เคยได้รับการรักษาจากความสูญเสียนี้

เราแนะนำผู้อ่านที่อ่อนไหวและรู้สึกเคืองใจได้ง่ายๆที่จะหยุดตรงนี้และอ่านบางอย่างที่สนุกมากกว่า เช่นบทความตัวอย่างนี้ this essay here.

ในหลายๆพื้นที่ บ่อยครั้งถูกเรียกว่า “ประเทศที่ด้อยพัฒนา” หรือ “ประเทศที่กำลังพัฒนา”  ในกลุ่มประเทศเหล่านี้คุณจะพบว่าโดยทั่วไปแล้วจะมีความสับสนน้อยเรื่องกินอะไร และแทบจะไม่มีข้อถกเถียงใดๆเกี่ยวกับประเด็นนี้

นั่นก็เนื่องจากว่าผู้คนส่วนใหญ่ในกลุ่มประเทศเหล่านั้น กินอะไรที่พื้นดินของเขามอบให้สำหรับพวกเขา ซึ่งก็เป็นไปตามสิ่งที่มนุษย์ (และสัตว์อื่นๆ ทั้งพืชและเชื้อรา) ได้กระทำมานับตั้งแต่ช่วงเวลาแรกเริ่มอย่างแท้จริง  มีเพียงแค่เหยื่อของโลกแห่งโลกาภิวัตน์ที่ได้หลงลืมเรื่องนี้ไป

การเติบโตมาในประเทศที่คุณต้องเลือกไม่ว่าจะเป็นอาหารแมกซิโก อาหารเกาหลี อาหารกรีก อาหารจีน อาหารอิตตาลี่ อาหารรัสเซีย อาหารไทย อาหารเยอรมัน อาหารอินเดีย  อาหารเวียดนาม หรืออาหารทางอเมริกาเหนือ และอาหารทั้งหมดของคุณ ถ้ามันไม่มาจากห้างสรรพสินค้าหรือมันก็จะมาจากร้านอาหาร การขาดความสัมพันธ์กับที่ดินนี้คือสิ่งที่ขับเคลื่อน ผู้คนยุคใหม่ ไปสู่ความว่างเปล่าทางจิตวิญญาณ เมื่อพวกเขากินอาหารส่วนใหญ่ที่มาจากพื้นที่ไกลๆพวกเขาจึงไม่ไม่มีความสัมพันธ์กับอาหารนั้นๆเลย

มุมมองของพวกเราอาจจะขัดเคืองใจกับบุคคลดังต่อไปนี้ ชาวมังสวิรัติ (vegetarians) หรือชาววีแกน (vegans) คือเป็นมังสวิรัติประเภทเคร่งครัด  ชาวกินน้ำผลไม้ (juice fasters ) สัตว์ที่กินผลไม้ “frugivores” สัตว์ที่กินเนื้อ “carnivores” ชาวกินดิบ (raw eaters)  และโดยพื้นฐานแล้วผู้ติดตามที่เชื่ออะไรก็ตามได้แบบหัวชนฝาเกินไปของยุคใหม่ เช่น ลัทธิที่ชอบเรื่องการควบคุมอาหาร สิ่งที่เรียกกันว่า การบริโภคอาหารที่ดีนั้นตั้งอยู่พื้นฐานของทฤษฎีแบบแยกส่วนหรือความเชื่อจากเพียงเศษเสี้ยวขององค์ความรู้ทั้งหมด ( reductionist)  และดังนั้นมันจึงไม่สมบูรณ์และบางครั้งเปิดเผยอย่างผิดพลาด)

การเข้าใจว่าร่างกายของเราทำงานอย่างไรเนื่องจาก มารตฐานของการบริโภคแบบตะวันตกนั้นไม่ใช่แบบหนึ่งที่จะมีสุขภาพดีมากสุดอย่างแน่นอน มันก็มีเหตุมีผลถ้าผู้คนมองหาอาหารที่ดีกว่าไว้รับประทาน ขณะที่ค้นหาการบริโภคที่ดีที่สุดอาจจะเป็นการยากสำหรับบางคน

ที่จริงแล้วมันค่อนข้างง่ายมากๆก็เพียงแค่กินอาหารพื้นบ้านที่ปลอดสารพิษให้เยอะ อาหารป่าและของดิบสด อย่างเช่น ผักป่าและผลไม้  และจงบริโภคให้หลายหลายมากที่สุดเสมอ ด้วยวิธีการนี้ร่างกายของเราสามารถที่จะเลือกได้เองว่ามันต้องการอะไรจากชุดสารอาหารที่ใหญ่มากสุด

ไม่มีนักควบคุมอาหาร “dietician” หรือ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ “nutritional expert” ที่จะสามารถบอกกับคุณได้อย่างแม่นยำว่าร่างกายของคุณต้องการอะไรไม่ว่าจะในสถานการณ์ใดก็แล้วแต่ (ส่วนใหญ่พวกเขาทำธุรกิจฉ้อโกงหรือหลอกหลวงที่พวกเขาขายหนังสือ เช่น สารอาหารเสริม อาหารปั่น เป็นต้น ดังนั้นพวกเขาใส่ใจเรื่องการทำเงินไม่ไม่เรื่องสุขภาพของคุณ)

แผนการส่วนใหญ่แนะนำบางอย่างที่เป็นไปตามแนวทางค่าเฉลี่ยของสัดส่วนน้ำหนักของชายและหญิง หรือค่า BMI ที่จำเป็นต้องมีแคลเซียมอย่างน้อยปริมาณ x  มิลลิกรัม และกรดฟอลิค ปริมาณ y ไมโคกรัมต่อวัน  เนื่องจากว่าไม่มีวันไหนจะเหมือนกับวันอื่น และค่าเฉลี่ยของเพศชายและเพศหญิงมีอยู่จริงแค่ในใจของนักสถิติเท่านั้น ข้อมูลทางการเหล่านั้นจึงไม่มีเหตุผล ข้อกำหนดนั้นเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และถึงแม้ว่าเหล่าผู้เชี่ยวชาญบางส่วน พยายามที่จะเอาชนะความสลับซับซ้อนต่างๆโดยการสร้างประเภทของร่างกาย “body types” แต่ล่ะร่างกายมีความเฉพาะมีเพียงแค่ร่างกายของคุณเท่านั้นที่จะรู้ว่าร่างกายคุณต้องการอะไร

ดังนั้น จงฟังสัณชาตญาณของคุณ (ขณะที่จงจำจดเอาไว้ว่าสัญชาตญาณของความหิวโหยเรื่องน้ำตาลควรที่จะถูกปฏิเสธ) และนำเอาอาหารที่หลากหลายเข้าให้กับร่างกายคุณ เพื่อที่ว่ามันจะเลือกเอาอะไรก็ตามที่มันต้องการได้

ความคิดเห็นดังต่อไปนี้คือสิ่งที่ถูกเปิดเผยจากความจริงที่ว่า มันไม่มีหลักฐานใดๆทางประวิติศาสตร์เลยที่พบว่าวัฒนธรรมไหนของมนุษย์สายพันธุ์โฮโม เซเปียนส์ (Homo sapiens) ในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ทั้ง 300,000 ปี เคยที่จะกินแค่อาหารดิบ (only ate raw food)  กินแค่มังสวิรัติหรือวีแกน (only ate vegetarian/vegan)  กินแค่ผลไม้  (only ate fruit) กินแค่น้ำผลไม้เป็นระยะยาว (only drank juice for extended periods) ไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่เคยมีชนเผ่าดั้งเดิมไหน (primitive tribe) ที่ถูกค้นพบโดยนักมานุษยวิทยา หรือ นักสำรวจรุ่นแรกๆ (โปรดอ่าน นักเอารัดเอาเปรียบ exploiters) ที่มีหรือพบว่าเป็นชนมังสวิริรัต/ วีแกนเท่านั้น หรือ เป็นชนกินผลไม้อย่างเดียวเท่านั้น หรือ ชนกินดิบเท่านั้น​

ดังนั้นก็แปลว่าสัตว์ที่กินเนื้อและพืชเป็นอาหาร บริโภคทั้งดิบและสุกขึ้นอยู่กับอาหารอะไรที่สามารถหาได้จากสิ่งแวดล้อมหนึ่งโดยทันทีก็คือการบริโภคตามธรรมชาติ สำหรับสายพันธุ์ของมนุษย์ที่เราทุกคนเป็น มันยากที่จะถกเถียงกันว่า รูปแบบการบริโภค (ตามรูปแบบของมันโดยมาก)  ที่มีมาไม่กี่ร้อยปีนั้นคืออย่างไรก็ตามดีมากกว่าสิ่งที่ได้รับการพิสูจน์ตามวิวัฒนาการสำหรับความสำเร็จมาเป็นเวลา 300,000 ปี  (ถ้าไม่อย่างนั้นชนพื้นเมืองในวันนี้คงจะไม่มีสุขภาพโดยรวมที่แข็งแรงมากกว่าชาวศิวิไลซ์แทบจะทั้งหมดเลยและสิ่งแวดล้อมของพวกเขาคงจะไม่เป็นจุดแห่งความหลากหลายทางชีวภาพตามที่พวกเขาเป็น)

บทสรุปก็คือ เรารู้สึกกดดันที่ต้องชี้ให้เห็นว่าประเด็นส่วนนี้คือเพียงแค่การอธิบายถึงว่า ทำไมเราถึงกิน เรากินอะไร (หรือเรากินใคร) เราไม่มีเจตจำนงที่จะบอกว่า วิธีการที่เรากินคือวิธีกินที่ถูกต้องเพียงอย่างเดียว ถ้าหากคุณรู้สึกดีมากกว่าในการกินมังสวิรัติ กินผลไม้  การกินที่เน้นไขมันสูง keto หรือ ketogenic diet การกินดิบ หรือการกินแบบใดก็ตามแต่ มันก็คือตัวเลือกของคุณเองและเราจะไม่พยายามที่จะโน้มน้าวให้คุณเปลี่ยนพฤติกรรมการกินของคุณ  กล่าวคือ ตราบใดที่คุณเคารพ การบริโภคอันโปรดปรานของพวกเราและการบริโภคของคุณได้มาจากแหล่งที่คุณอาศัยอยู่ (land-based)  มันก็ไม่มีอะไรผิดสำหรับคนที่ปลูกพืชผักและผลไม้ไว้ในสวนและใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งที่เพาะปลูกไว้ตลอดเวลา เนื่องจากวิธีการนี้ไม่ก่อให้เกิดอันตรายที่สำคัญต่อสิ่งแวดล้อม (และอาจจะช่วยฟื้นฟูสภาพแวดล้อมเองด้วย) มันเป็นเพียงแค่เมื่อการบริโภคของคุณข้องเกี่ยวกับอาหารที่มาจากเรือบรรทุกสินค้า เครื่องบิน และรถบรรทุกขนส่งอาหารของคุณ ถ้าหากอาหารส่วนใหญ่ของคุณมาจากห้างสรรพสินค้า เรารู้สึกขอบคุณที่จะแสดงให้เห็นกันว่า วิธีการได้รับอาหารที่ไม่ได้มาจากที่ดินนี้คือการทำลาย คือความฟุ่มเฟือย คือความไม่ยั่งยืน และป็นอันตรายต่อตัวคุณเองและต่อสิ่งแวดล้อมด้วย

คุณเป็นสิ่งที่คุณกิน “You are what you eat”

นี่คือความจริงในทุกๆด้าน อธิบายได้ในเชิงเปรียบเทียบว่า ถ้าคุณกินอาหารขยะ ตัวคุณเองก็จะกลายมาเป็นคนที่เหมือนอาหารขยะนั้น กล่าวคือ เต็มไปด้วยไขมันและสารเคมีและดูไม่น่ามอง แต่พูดในเชิงกายภาพได้ด้วยว่า ร่างกายของคุณสร้างตัวเองใหม่อยู่ตลอดเวลา กล่าวคือ เซลล์เดิมตายไปและเซลล์ใหม่ก็ถูกสร้างขึ้น  เซลล์ใหม่ที่ร่างกายสร้างขึ้นใหม่เหล่านั้นไม่ใช่ว่าจะได้มาแบบไม่มีกระบวนการ เซลล์เหล่านั้นได้มาจากสิ่งที่เราบริโภคกันเพื่ออยู่รอดได้ นั่นก็คือ อาหารและน้ำ ค่าเฉลี่ยวงจรชีวิตของเซลล์แตกต่างกันอย่างมาก เซลล์ผิวหนังมีช่วงชีวิตค่อนข้างสั้น ประมาณ  2-3 สัปดาห์  เซลล์เมล็ดเลือดแดงประมาณ 4 เดือน เซลล์เมล็ดเลือดขาวอยู่ประมาณมากกว่าหนึ่งปี ในขณะที่เซลล์ลำไส้  (colon cells) มีชีวิตอยู่ได้เพียงแค่ 4 วัน เซลล์สมองจะไม่ถูกเปลี่ยน ตัวอย่างเช่น เซลล์ประสาทในเปลือกสมองใหญ่จะไม่ถูกแทนที่เมื่อเซลล์ตายไป

โดยพื้นฐานแล้วทั่วทั้งร่างกายของคุณชะล้างของเก่าและสร้างของใหม่จากอาหารที่คุณบริโภค ร่างกายของคุณส่วนใหญ่ได้รับการสับเปลี่ยนและสิ่งที่เซลล์ต่างๆเหล่านี้ไม่ได้มีมาโดยไม่มีกระบวนการ ตัวคุณถูกสร้างมาจากอาหารที่คุณกิน ทั้งร่างกายสัตว์และพืชมีส่วนประกอบการจัดเรียงโดยประมาณเหมือนๆกัน (โดยจะแตกต่างกันเล็กน้อย)  ร่างกายของเราและร่างกายของพืชส่วนใหญ่ด้วยเช่นกันคือประกอบด้วย ไนโตเจน ประมาณ 3-4 เปอร์เซนต์ โดยน้ำหนัก  ส่วนใหญ่ทำมาจากคาร์บอน ไฮโดนเจนและออกซิเจน จุดนี้คือความจริงที่ว่า เราไม่ได้แตกต่างไปจากสิ่งที่เรากินกันเลยย

ด้วยเรื่องนี้มันจึงมีเหตุผลในการดูแลสิ่งที่คุณกินเป็นอย่างดี เนื่องจากเซลล์ต่างๆถูกสร้างมาจากพืชผักและผลไม้ที่ปลอดสารพิษ รวมถึงเนื้อสัตว์ป่าโดยธรรมชาติและจะทำให้เซลล์แข็งแรงมากกว่าและโดยทั่วไปแล้วมีประสิทธิภาพมากกว่าเซลล์ที่สร้างมาจากอาหารจำพวกแฮมเบอร์เกอร์อย่าง BigMac’s

ทุกอย่างคืออาหาร (Everything is food)

ทุกๆอย่างที่เรากินไม่ว่าจะเป็นพืช เห็ด หรือสัตว์  ครั้งหนึ้งคือสิ่งมีชีวืตชนิดหนึ่ง เหมือนกับพวกเรา มันมีความสำคัญที่จดจำไว้ว่าทุกอย่างรวมถึงตัวเรา มนุษย์คืออาหารและจะถูกกินโดยสายพันธุ์อื่นๆ ณ จุดหนึ่ง นี่คือตัวอย่างที่ดีมากที่สุดสำหรับเรื่องความสัมพันธ์ร่วมกันของชุมชนแห่งชีวิต  ร่างแหขนาดใหญ่มหึมาเป็นล้านๆสายพันธุ์บนโลกใบนี้ สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวทั้งหมดที่เจริญเติบโตมาจากเซลล์เดียวกันอย่างโปรคาริโอติกเซลล์ (prokaryotic cells) ซึ่งเป็นเซลล์ที่ไม่มีนิวเคลียสและไม่มีเยื่อหุ้มนิเคลียส (เช่นพวกแบคทีเรีย) ในมหาสมุทรของยุคดึกดำบรรพ์ หรือยุคอาร์เคียน (Archean era) ประมาณ 3.8 พันล้านปีก่อน ซึ่งส่งผลให้เกิดความเป็นไปได้โดยสิ่งมีชีวิตที่มีส่วนประกอบแตกต่างกันผ่านช่วงความเย็นทั้งหมดของจักรวาลหลังจากเหตุการณ์ระเบิดครั้งใหญ่ของจักรวาลอย่าง บิ๊กแบง Big Bang

ดังนั้นในท้ายที่สุดพลังงานทุกชนิดจึงมีแหล่งพลังงานเดียวกัน นี่ไม่ใช่หลักคำสอนของศาสนาต่างๆ แต่มันคือความเป็นจริงทางวิทยาศาสตร์อย่างง่ายๆ นักเขียนชื่อ เดเนล์ คินน์ (Daniel Quinn) เรียกพลังงานนี้ว่ามันอยู่ภายในตัวของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด นั่นก็คือ ไฟแห่งชีวิต “fire of life” ไฟแห่งชีวิตครั้งหนึ่งเผาไหม้อยู่ในทุกอย่างที่คุณกิน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าในสิ่งที่คุณกินจะไม่มีไฟแล้วนะ ไฟนั้นถูกถ่ายโอนไปยังตัวคุณ ไฟที่ถูกเผาไหม้ครั้งหนึ่งในพืชและในสัตว์ที่คุณกินนั้นช่วยให้คุณรักษาไฟของคุณอยู่รอดได้และทำให้มันแข็งแกร่งมากขึ้น เมื่อครั้นที่คุณตาย ไฟแห่งชีวิตของคุณก็จะถูกถ่ายโอนไปยังเหล่าจุลินทรีย์เล็กๆ เหล่าแมลง และสัตว์ต่างๆที่จะเป็นมากินซากศพของคุณต่อไป พลังงานคือสิ่งที่ไม่เคยสูญหาย และเราทุกคนเป็นส่วนที่แตกต่างกันไปของการเดินทางเดียวกันผ่านช่วงเวลาหนึ่ง

การกินคือเรื่องศักดิ์สิทธิ์ (Eating is sacred)

การกินควรที่จะถูกพิจารณาให้เป็นการปฏิบัติที่ศักดิ์สิทธิ์ โดยส่วนใหญ่คือหลักพื้นฐานสำหรับการดำรงอยู่ของพวกเรา เช่น การหายใจและการดื่ม และเนื่องจากว่ามันย้ำเตือนให้พวกเราว่า เราต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของบางอย่างที่ใหญ่กว่า เราเคยพึ่งพาอาศัยชีวิตของเรากับพืชและสัตว์ที่เป็นอาหารของเรา มันคือการกระทำของการยืนยันความสัมพันธ์อันเชื่อมติดกันนี้ การพึ่งพาอาศัยกันและกันนี้ และเราควรที่จะตระหนักถึงความเป็นจริงนี้เสมอและจงคงอยู่อย่างขอบคุณสำหรับอาหารทุกมื้อและสิ่งมีชีวิตที่ได้สังเวยชีวิตของเขาหรือเธอเพื่อที่ว่าเราอาจจะอยู่รอดต่อไป

จงฟังที่ดิน (Listen to the Land)

ถ้าคุณตั้งใจฟัง ระบบนิเวศที่คุณอาศัยอยู่นั้นจะแสดงให้คุณมองเห็นโดยตัวมันเองว่าจะกินอะไร ผลไม้เมล็ดนิ่มจำพวกเบอรรี่บางชนิดจะแสดงตัวมันในสีที่สดใส เครื่องหอมบางอย่างกลายมาเป็นน้ำหอมได้ สัตว์ต่างๆและแมลงบางชนิดจะแสดงตัวของพวกเขาเองในจำนวนมากมาย อาหารเหล่านี้แน่นอนว่าจะเป็นอาหารตามฤดูกาล อาหารป่า และอาหารพื้นบ้าน นี่คือวิธีการกินหรือการบริโภคแบบเดียวที่ยั่งยืน และนี่ก็คือการกินอาหารของมนุษย์และสัตว์อื่นๆนับมาตั้งแต่ครั้งแรกเลย มีเพียงแค่อารยธรรมแห่งโลกาภิวัฒน์ (globalized civilization) ที่เปิดโอกาสให้เราได้กินอาหารจากพื้นที่ไกลๆ ขนส่งมาถึงพวกเรากับความเสียหายทางวิเวศวิทยาอย่างมาหาศาล

นี่คือเรื่องหนึ่งที่ถกเถียงได้ว่าเป็นวิธีการที่ได้มาซึ่งอาหารอย่างทำลายล้างมากสุดและมันก็ไม่ต้องมีวิธีการเช่นนี้ถ้าหากเราต้องการที่จะหลีกเลี่ยงความเสียหายที่เลวร้ายมากที่สุดบนโลกที่เราแบ่งปันกันอยู่อาศัย

มันเป็นจริงเช่นเดียวกันกับการปลูกอาหาร ถ้าถั่วฝักยาวโตง่ายและโตเร็วในสวนของคุณในฤดูกาลหนึ่ง คุณควรที่จะปลูกถั่วฝักยาวนั้นให้เยอะ ถ้ามีหน่อไม้แทงหน่อออกมาในฤดูอื่นมันก็จะเป็นอาหารเย็นของคุณ ในฤดูทุเรียนพวกเราอาจจะไม่กินอาหารสักมื้อหนึ่งหรือสักสองมื้อแล้วก็กินแค่ทุเรียนแทน มันคือความพยายามที่ไม่จำเป็นและมันคือการรบกวนทฤษฎีของเกษตรกรรมแบบไม่กระทำ “do-nothing”  พยายามเพื่อที่จะมีมะเขือเทศตลอดทั้งปี ถ้ามะเขือเทศไม่ชอบฤดูฝน ก็ไม่เป็นไร ลองปลูกดูอีกในฤดูแห้ง  ตัวของพืชเองรู้ดีมากที่สุด เมื่อไหร่และที่ไหน ที่จะเกิดได้ และจะออกดอกออกผลได้ตอนไหน  การบริโภคอาหารทั้งหมดที่ไม่ได้มาจากพื้นดินสามารถและจะไม่เคยยั่งยืนได้เลย

ถ้าชาวดื่มน้ำผลไม้ต้องการที่จะดื่มเพียงแค่น้ำองุ่นเป็นเวลาสองเดือน มันก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่พวกเขาจะสามารถปลูกองุ่นแบบปลอดสารพิษได้เพียงพอสำหรับตัวพวกเขาเองกับปริมาณน้ำผลไม้ที่มากเกินธรรมดาที่พวกเขาจะดื่มในช่วงเวลานั้น มีเพียงแค่จะได้มาจากห้างสรรพสินค้า ที่ผลิตในปริมาณระดับอุตสาหกรรม จากโรงงานและการปลูกองุ่นแบบเชิงเดี่ยวที่ใช้สารเคมีอย่างหนัก ถึงจะปล่อยให้ความความฟุ่มเฟือยอย่างไม่มีเหตุผลเช่นนั้นเกิดขึ้นได้  แต่แล้วพวกอดอาหาร และลัทธิอดอาหารและใช้ชีวิตโดยพลังงานล่ะ But what about fasting and “Breatharians”? แน่นอนว่า การอดอาหารสามารถที่จะมีประโยชน์ได้ทั้งสองอย่าง คือทั้งสำหรับทางสุขภาพและสำหรับประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ มีหลายวัฒนธรรมของคนป่าหรือวัฒนธรรม​ดั้งเดิม (primitive cultures) ทั่วโลกมีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการอดอาหารสำหรับการทำให้ร่างกายและจิตใจสะอาดบริสุทธิ์และสำหรับการเข้าสู่นิเวศภวนาหรือการฝึกจิตวิญญาณด้วยการอยู่ร่วมกันกับธธรมชาติ (vision quests) เมื่อกระทำได้ถูกต้องและไม่ทำบ่อยจนเกินไป มันก็ไม่มีอะไรผิดกับเรื่องนี้ตราบใดที่คุณไม่กระทำมากจนเกินไปและตราบใดที่คุณไม่หยุดฟังร่างกายของคุณเอง วัฒนธรรมสมัยใหม่ (Modern culture) ยังคงยึดมั่นหลักความเชื่ออันโง่เขลาจากอารยธรรมแรกๆและ แกนความเชื่อเหล่านั้นสามารถเป็นอันตรายอย่างมากและไม่สร้างสรรค์เลย ความเชื่ออย่างหนึ่งจากความเชื่อเหล่านั้นก็คือคำเปรียบเทียบอย่าง ให้มีพลังจิตเหนือสิ่งทั้งมวล (Mind-over-Matter) แนวความคิดที่ว่าคุณจะต้องทำให้ตัวเองทรมาน โดยการใช้จิตของคุณบังคับร่างกายของคุณ เพื่อที่จะเข้าถึงความบริสุทรทธิ์ทางจิตวิญญาณ (“spiritual pureness”)     บันทึกครั้งแรกในกรีกโบราณที่นักปรัชญาหลายท่านได้ค้นพบกับแนวความคิดแปลกๆที่ว่าจิตคือรูปที่แบ่งแยกและมีความสำคัญมากกว่าส่วนอื่นของร่างกายที่เหลือ (ถึงแม้ว่า จิตและร่างกายคือสองส่วนของร่างเดียวกัน และส่วนใดส่วนหนึ่งจะมีอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีอีกส่วนหนึ่ง) แนวความคิดนี้ถูกนำเอามาสานต่อโดยชาวคริสเตียน (โดยเฉพาะเรื่ออื้อฉาวของผู้หญิงและการรังเกียจร่างกาย โดยนักบุญพอล Apostle Paul) แห่งทาร์ซัส หรือนักบุญเปาโลของคริสเตียนคนสำคัญ) เป็นผู้ที่เข้าถึงระดับใหม่ของการปฏิเสธธรรมชาติ (Nature-denial) และความเกลียดชังตนเอง (self-hatred) ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากข้อความในพระคัมภีร์ไบเบิล เช่น “Put to death what is earthly in you: fornication, impurity, passion, evil desire, and covetousness, which is idolatry” (Colossians 3:5)  บทแปลฉบับมาตรฐาน กล่าวว่า เพราะฉะนั้นจงประหารโลกียวิสัยในตัวท่าน คือการล่วงประเวณี การโสโครก ราคะตัณหา ความปรารถนาชั่ว และความโลภ (ซึ่งเป็นการบูชารูปเคารพ) (โคโลสี 3:5 THSV11) ชาวคริสเตียนได้เริ่มเกลียดชังร่างกายของตนเองอย่างมากถึงขั้นกับว่าพวกเขาปฏิเสธความปราถณาทุกอย่างให้กับตัวเองและในบางครั้งบางคราวก็ทำการเฆี่ยนตีตัวเอง หรือ self-flagellation เป็นการลงโทษตัวเองโดยเจตนา เช่น เฆี่ยนตีตังเองด้วยไม้แส้  การสัมผัสถึงการลงโทษตัวเองไปสู่ทางโลกแห่งร่างกาย ผ่านจิตที่สูงกว่าและจิตที่บริสุทธิ์กว่า  ซึ่งยังคงเป็นการปฏิบัติที่ยังใช้กันอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ ถึงแม้ว่าผู้คนส่วนใหญ่ลงโทษหรือทรมานตัวเองผ่านการอดอาหารอย่างรุนแรงและคนส่วนอื่นก็กระทำแบบที่กล่าวไปนั้นคงจะปฎิเสธอย่างรุนแรงต่อการฝึกปฏิบัติของพวกเขาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับบรรพบุรุษชาวคริสเตียน ด้านความเชื่อและหลักปฏิบัติ ถึงอย่างไรก็ตาม รูปแบบของแนวคิดคือแนวเดียวกัน  เรา สวนฟื้นฟูฯ สนับสนุนการให้ความรักและการให้เกรียติร่างกายของคุณ เราสนับสนุนให้เพลิดเพลินไปกับทุกความปราถณาอันสิแสนวิเษทางโลกที่พวกเขามีไว้สำหรับความสนุกสนานในชีวิต และเรามองว่าทั้งเรื่องจิตและร่างกายเป็นสองมิติที่เท่าเทียมกันของร่างหนึ่งและของร่างเดียวกัน กล่าวคือเป็นทั้งผู้พึ่งพิงอาศัยและเชื่อมโยงถึงกันเช่นเดียวกับจักรวาล  มีผู้คนที่กล่าวอ้างว่า ไม่ได้กินอาหารเป็นเวลานาน แต่สำหรับพวกเราเรื่องนี้เป็นเหมือนเรื่องหลอกหลวง มันคือแนวคิดเดียวกันกับอารยธรรมเก่าแก่ที่ว่า อย่างไรก็ตามแต่ มนุษย์อยู่สูงกว่าสัตว์อื่น (ถึงแม้ว่าตัวยีราฟเองก็ถกเถียงได้ว่ามันสูงมากกว่าตัวมนุษย์เสียอีก) บางที่ระหว่างสัตว์และพระเจ้าและดังนั้นพวกเขาจึงเชื่อว่า มนุษย์เราอยู่เหนือกว่ากุญแจสู่ทางโลกของการถูกบีบบังคับให้กินอาหารเหมือนกับสัตว์อื่นที่คลานกินอาหารในดิน แน่นอนว่าเรื่องนี้กล่าวไปอย่างไม่มีเหตุผล มันยืนอย่าในความขัดแย้งโดยตรงกับเรื่องชีวิตเป็นอย่างไร ในการที่จะคิดว่าคุณสามารถหลบหนีวัฏจักรที่ไม่สิ้นสุดของการได้กินอาหารและการเป็นอาหารได้นั้นคือการปฏิเสธเรื่องชีวิตเอง เราเป็นสัตว์ และนี่ก็คือเหตุผลที่จะต้องภูมิใจและรู้สึกถึงแก่นแท้ ความสบายใจและรู้สึกต้อนรับเพื่อที่จะยอมรับตัวคุณเองว่าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่ใหญ่กว่า นั่นก็คือ ชุมชนแห่งชีวิต (the Community of Life) มีอาหารอยู่ 5 กลุ่มที่สำคัญต่อเรา ได้แก่  อาหารป่า  Wild foods อาหารพื้นบ้าน Local foods อาหารที่ไม่ผ่านกรรมวิธี หรือ อาหารดิบ Raw foods อาหารที่มีคาร์โบไฮเดตน้อย Low-carb อาหารพาลีโอ Paleo 

No comments.