อาหารพื้นบ้าน (Local Foods) สิ่งมีชีวิตทุกชนิดเก็บหาอาหารได้จากสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวของมันโดยเป็นไปตามธรรมชาติ มันจึงเป็นเหตุที่ว่า อาหารที่ดีมากที่สุดคืออาหารตามธรรมชาติและจะต้องป็นแหล่งอาหารที่มีในท้องถิ่น พวกเรา สัตว์ต่างๆทั้งหมด มีการกินอาหารที่พึ่งพาอาศัยอยู่กับวัฏจักรธรรมชาติและฤดูกาลต่างๆ เพียงแค่อารยธรรมท่านั้นที่อนุญาตให้พวกเราชาวมนุษย์มีมะเขือทศ แตงกวา ผักสลัดและผลไม้เขตร้อนตลอดทั้งปี ด้วยผลกระทบที่สูงอย่างมากต่อสภาพแวดล้อม การขนส่งอาหารจากทวีปหนึ่งไปยังอีกทวีปหนึ่งคือการปฏิบัติทางศีลธรรมอย่างหนึ่งที่ไม่สามารถป้องกันได้ มนุษย์สมัยใหม่ส่วนใหญ่ยังไม่สามารถออกไปจาก “ความฟุ่มเฟือย” นี้ได้เลย แต่ตามที่ บิล มอลลิสัน กล่าวไว้ว่า ความฟุ่มเฟือยของวันนี้คือความหายนะของวันหน้า “Today’s luxuries are tomorrow’s disasters” และการบริโภคแบใดก็ตามที่ขึ้นอยู่กับทั่วโลก ขึ้นอยู่กับระหว่างประเทศและแม้กระทั่งขึ้นอยู่กับการขนส่งระหว่างภูมิภาคนั้นไม่สามารถเกิดความยั่งยืนได้ เนื่องจากมันพึ่งพากับระบบเดิมของการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง (fossil fuels) และทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่สามารถผลิตทดแทนขึ้นได้ (non-renewable resources) เครื่องจักรกล เครื่องยนต์เผาไหม้ (combustion engines) สายส่งพลังงาน (power lines) โรงงานต่างๆ โรงกลั่นน้ำมัน (refineries) โรงหลอม (smelteries) เหมืองแร่ต่างๆ (mines) และอื่นๆ (ถ้าคุณไม่ได้ใช้เกวียนที่ลากด้วยวัว มันก็ต้องใช้หลายต่ออย่างที่กล่าวไปด้านบน)
นอกจากนี้แล้ว มันก็จะยากมากยิ่งขึ้นในการมีความสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณกับที่ดินของคุณ ถ้าที่ดินของคุณไม่ได้หล่อเลี้ยงคุณมาด้วย (และดังนั้นคุณจึงต้องพึ่งพาอาศัยที่ดินกับชีวิตของคุณเป็นอย่างมาก) ความผูกพันนี้คือโครงสร้างพื้นฐานของความเชื่อทางจิตวิญญาณที่ดีและเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความรู้สึกที่ถูกแบ่งแยก ห่างเหินและไร้ซึ้งเป้าหมาย และเหตุผลหนึ่งที่ว่าทำไมบ่อยครั้งชนพื้นมืองจึงปกป้องที่ดินของพวกเขาด้วยชีวิต หากพวกขาไม่มีที่ดิน พวกขาก็จะตาย หมอผีหรือคนทรงเจ้าของ ชาวยาโนมามิ Yanomami และนักกิจกรรมรื่องสิทธิของชนผ่าพื้นเมือง ชื่อ ดาวี โคปินาวา (Davi Kopenawa) ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องที่ดินและผู้คนของเขาที่อาศัยอยู่ไว้ว่า “ฉันรู้ว่าตอนนี้ บรรพบุรุษของพวกราได้อาศัยอยู่ในผืนป่าแห่งนี้มาตั้งแต่ครั้งแรก และพวกเขาทิ้งผืนป่านี้ไว้สำหรับพวกเราเพื่ออยู่อาศัยต่อหลังจากพวกเขา พวกเขาไม่เคยปฎิบัติไม่ดีต่อผืนป่า ต้นไม้ของผืนป่านี้สวยงามและดินของผืนป่านี้อุดมสมบูรณ์ ลมและฝนทำให้ผืนป่านี้ร่มเย็น พวกเรากินสัตว์ที่ล่าได้ในป่านี้ เรากินปลา เรากินผลไม้ของต้นไม้ต่างๆ และกินน้ำผึ้งป่าที่ได้จากผืนป่าแห่งนี้ พวกราดื่มกินน้ำจากแม่น้ำที่นี่ ความชุ่มชื้นของที่นี่ทำให้มีต้นกล้วย มันสำปะหลัง อ้อย และทุกๆอย่างที่เราปลูกในสวนของพวกเราต่างก็เติบโต พวกเราเดินทางผ่านป่าเพื่อไปร่วมพิธีกรรม reahu fests ที่เราได้รับคำเชิญ พวกเรานำทางล่าสัตว์และเก็บหาของกินไปตามล่องลอยของมันหลายทาง วิญญาณต่างๆอาศัยอยู่ในผืนป่านี้และล่องลอยเล่นกันอยู่รอบๆพวกเรา (โอมามา Omama พระเจ้าผู้ที่สร้างท้องฟ้า แม่น้ำ ป่าพงไพรและสิ่งที่อาศัยอยู่ในป่า) ได้สร้างพื้นดินนี้และนำพาพวกเรามาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ เขาได้ปลูกภูเขาไว้เพื่อโอบอุ้มพื้นดินไว้กับที่และได้เปลี่ยนภูขาและพื้นดินเป็นวิญญาณ ซึ่งเป็นผู้ที่เขาได้ทิ้งไว้เพื่อดูแลรักษาพวกเรา มันคือที่ดินของพวกเราและคำกล่าวเหล่านี้คือความจริง” หญิงผู้สูงวัย ชื่อ Lejeng Kusin แห่งแม่น้ำ Ubong River Penan เมืองปีนังในประทศมาเลเชีย ได้กล่าวกับคำสุนทรพจน์เพื่ออธิบายถึงสิ่งที่พวกเขาพึ่งพาอาศัยอยู่และความสัมพันธ์กับที่ดินไว้ดังนี้ “ถ้าหากผืนป่าแห่งนี้ถูกตัดทิ้ง ถ้าพื้นที่แห่งนี้ถูกทำลายย่อยยับจากการตัดไม้ พวกเขาคงไม่จำป็นที่จะต้องส่งคนสองหรือสามคนมาที่นี่เพื่อที่จะทำร้ายพวกเราและฆ่าพวกเรา พวกเขาส่งคนมาแค่คนเดียวก็ได้และเขาคนนั้นคงจะแข็งแรงมากพอที่จะฆ่าพวกเราได้ทั้งหมดอย่างแน่นอน เพราะว่าพวกเราต่างก็ไม่เคยชินกับพื้นที่เปิดกว้าง พวกเราไม่ชินกับการมองห็นต้นไม้หลายต้นถูกตัดและถูกทำลายทิ้ง เพราะว่าที่นั่นจะไม่เหลืออะไรทิ้งไว้ให้พวกเราต้องการที่จะอยู่อาศัยต่อ เพราะว่าต้นไม้ต่างๆที่พวกเราถวิลหาเพื่อจะมีไว้คงจะถูกทำลายไปแล้ว และถ้าหากพวกเขาอยากจะพูดว่าพวกเรามีความสุข มีความสุขหลังจากที่พื้นที่แห่งนี้ถูกลักลอบตัดไม้ไป มันก็จะหมายความว่าพวกเขาไม่ได้อยากให้พวกเรามีชีวิตอยู่เลยจริงๆ พวกเขาไม่ได้ต้องการให้พวกเรามีความสุข พวกเขาต้องการทำร้ายและฆ่าพวกเรา แน่นอนล่ะพวกเราไม่ได้รู้สึกว่ามีความสุขหรือภาคภูมิใจเกี่ยวกับการลักลอบตัดไม้ เพราะว่ารถแทรกเตอร์เกลี่ยดินทั้งหมดเหล่านี้ การเข้าลักลอบตัดไม้ทั้งหมดนี้คือภัยอันตรายต่อพวกเรา นี่คือปัญหาของพวกรา นี่คือความยากลำบากใจของพวกรา เราไม่สามารถที่จะมีความสุขได้เลยจากการใช้ชีวิตบนพื้นดินสีแดง และเรารู้สึกศร้าเสียใจและมีปัญหาตลอด เมื่อพวกเรามองไปยังผืนป่าที่ถูกทำลาย เรารู้สึกหมือนกับคนหนึ่งที่ไม่ได้กินอาหารมาเป็นเวลานาน พวกเราปราถณาเพื่อได้ยินเสียงของผืนป่า พวกเราได้ยินเสียงเหล่านี้มาโดยตลอด ในช่วงเวลาอันแสนยาวนานของรุ่นปูย่าตายายของพวกเรา พวกเราได้ยินเสียงของป่า นั่นคือเหตุผลว่าทำไมพวกเราจึงยังปราถณาที่จะได้ยินเสียงเหล่านี้ ในช่วงเวลาเหล่านั้นที่มันผ่านมานานแล้ว ชีวิตของพวกเราเป็นที่น่าพอใจ ชีวิตของพวกเราได้รับการเติมเต็ม และตอนนี้มันยากมากกว่าสำหรับพวกเรา เพราะว่าพวกเราได้ยินแต่เสียงรถแทรกเตอร์เกลี่ยดิน และนั่นก็คือเรื่องที่พวกเราคุยกันเสมอ เราพวกผู้หญิง ตอนที่เราอยู่ด้วยกัน เราจะใช้ชีวิตอยู่กันอย่างไร เราจะเติบโตกันได้อย่างไร ตอนนี้ที่เรามีปัญหาหล่านี้? สำหรับพวกราสียงของรถแทรกเตอร์เกลี่ยดินคือเสียงของความตาย รารู้สึกโศกเศร้า ร้องไห้คร่ำครวญตอนที่พวกเราเห็นผืนป่าถูกทำลาย ตอนที่เราได้ห็นพื้นดินสีแดง มันยากยิ่งนั่งสำหรับพวกเราที่จะมองดูพื้นดินสีแดงๆ” จุดประสงค์ของรื่องนี้ก็คือ ถ้าคุณพึ่งพาอาศัยที่ดินสำหรับหล่อเลี้ยงตัวคุณ คุณก็จะปฏิบัติกับที่ดินได้อย่างถูกต้องเหมาะสมโดยอัตโนมัติและด้วยความเคารพอย่างพึงพอใจ และปกป้องมันเพื่อต่อสู้กับการคุกคามต่างๆ มันถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเพื่อที่จะไม่ทำลายสภาพแวดล้อมของคุณ ดังนั้น การกินอาหารพื้นบ้านคือการปฏิบัติของการออกหาอาหารที่ยึดหลักการแบบสมัยก่อน ของการกลับคืนไปเชื่อมต่อกันอีกครั้ง และมันสริมให้มีพละกำลังในการอนุรักษ์ไว้และคอยป็นผู้ดูแลรักษาและมีความรับผิดชอบต่อที่ดิน ถ้าคุณกินอาหารที่มีเยอะจากที่ดินของคุณ มันก็จำป็นด้วยที่คุณต้องไตร่ตรองดูอยู่เสมอว่า อะไรที่ควรกินและอะไรที่ไม่ควรกิน ตามที่ราได้พูดไว้ก่อนหน้านี้เกี่ยวกับเรื่อง ฟังที่ดิน และที่ดินจะบอกคุณเองว่า มีอะไรกินได้บ้าง ตอนที่เราหิวและไม่รู้ว่าจะทำอาหารอะไร เราก็จะเดินดูในสวนและดูว่ามันมีอาหารอะไรที่เราพอจะเก็บได้บ้างวันนี้ วัตถุดิบที่เก็บหาได้ก็จะเป็นอาหารของเราในวันนั้น ถ้ามีหน่อไม้ออกช่วงต้นฤดูฝน เราก็จะใช้หน่อไม้เป็นอาหารหลักของพวกเราป็นอาทิตย์เลยในช่วงนั้น ราก็จะเลือกกินอย่างใดอย่างหนึ่งถ้ามีโอกาสให้เราเลือก ถ้าฤดูไหนมีแมลงเยอะราก็จะกินแมลงด้วย สุดท้ายแล้วประเด็นเรื่องการกินอาหารพื้นบ้านหรือกินอาหารที่มีในท้องถิ่น จัดได้ว่ามันคือความป็นอยู่ที่ดีมากและถือว่าใกล้เคียงกับความยั่งยืนได้มากที่สุด ความเรียบง่ายของเมนูอาหารพื้นบ้านของทุกๆภาคก็จะมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเนื่องจากวัตถุดิบที่ใช้ประกอบอาหารก็มีตามบ้านหรือตามป่าใกล้ๆบ้านหรือในหมู่บ้านที่ราอาศยอยู่ การกลับไปกินอาหารพื้นบ้านยังสามารถช่วยให้เราสร้างความสัมพันธ์ที่ดีได้กับอาหารที่เรากิน ดังนั้นเราก็จะรู้ว่า แหล่งอาหารของเราได้มาอย่างไร ยิ่งหากเราเพาะปลูกกินเองก็จะยิ่งสร้างความพึงพอใจและความรู้สึกอิ่มใจของเรามันก็จะเกิดขึ้นต่อแหล่งที่อยู่อาศัยของเราได้ด้วยเช่นกัน
แหล่งที่มา Sources: The Falling Sky – Words of a Yanomami Shaman; Davi Kopenawa (Harvard University Press, 2013)* Nomads of the Dawn – The Penan of the Borneo Rain Forest; Wade Davis, Ian Mckenzie, Shane Kennedy (Pomegranate, 1995)
No comments.