บทเขียนสั้นๆเกี่ยวกับคนที่กินมังสวิรัติ​

บทเขียนสั้นๆเกี่ยวกับคนที่กินมังสวิรัติ​

บทขียนสั้นๆเรื่องผู้นิยมกินมังสวิรัติ (A short note on vegetarianism)  ในสังคมอุตสาหกรรม มันมีหตุผลมากๆในการที่จะลดการบริโภคเนื้อสัตว์ที่ลี้ยงในโรงงานเลี้ยงสัตว์ เพราะว่าในโรงเลี้ยงสัตว์มีการทารุณกรรมสัตว์เลี้ยงต่างๆหนักมาก อาจจะรียกได้ว่าป็น ค่ายกักกัน หรือ concentration camps ก็ว่าได้ และมันส่งผลกระทบส่วนใหญ่ต่อสิ่งแวดล้อมของการให้อาหารจีเอ็มโอหรืออาหารดัดแปรพันธุกรรมกับสัตว์เลี้ยง  มีการปล่อยก๊าชเรือนกระจก มีการปล่อยน้ำไหลออกอย่างหนัก และมีโรคสายพันธุ์ใหม่ (หรือการดื้นยาปฏิชีวนะ) ที่มีการนำไปใช้ในโรงเลี้ยงสัตว์ พวกเราคิดว่ามันคือคำถามอย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่า จะต้องหยุดมีโรงงานเลี้ยงสัตว์ พวกรายังเห็นด้วยอีกว่า จะต้องลดปริมาณการบริโภคเนื้อน้อยลงในกลุ่มประชาชนทั่วๆไป ถามว่าทำไมต้องป็นกลุ่มนี้ นั่นก็เพราะว่าผู้คนโดยทั่วๆมักจะบริโภคเนื้อเกินความจำเป็น ซื้อมาเยอะแล้วก็กินไม่หมด หรือซื้อไว้เผื่อหลายวัน นั่นคือความต้องการซื้อและความต้องการขายจากโรงงานก็จะมีเนื้อขายตลอด ซึ่งก็กระทบไปยังสัตว์เลี้ยงในสุดท้าย พวกเราจึงคิดว่า ทุกอย่างมันจะดีขึ้นมากกว่าถ้าใครต้องการกินเนื้อสัตว์จะต้องฆ่าสัตว์กินด้วยตนเอง กับแค่เพียงจุดนี้จุดเดียวมันก็จะช่วยลดปริมาณการบริโภคเนื้อของชาวศิวิไลซ์ ได้แล้วส่วนหนึ่ง  ใครอยากจะกินเนื้อสัตว์ที่มาจาก การจ้างคนภายนอกที่จำป็นต้องถูกละเมิดสิทธิผู้ลี้ภัยที่มาทำงานในอุตสาหกรรมโรงฆ่าสัตว์ มันมีการเล่ากันไว้ว่า มันไม่มีหตุผลอะไรเลยที่มนุษย์ไม่ควรกินเนื้อสัตว์ ถ้าสัตว์นั้นๆมีจำนวนมากเพียงพอ (ดังนั้นความสูญเสียของสัตว์ก็จะไม่มีผลร้ายต่อระดับจำนวนประชากรของสัตว์สายพันธุ์นั้นๆ) กล่าวคือ เป็นสัตว์ที่มีในท้องถิ่น มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีและอยู่อย่างเป็นอิสระ และ (เลือกได้ว่า) มาจากสัตว์ป่าที่ตัวหนึ่งได้ฆ่าอีกตัวหนึ่งเอง มันจึงไม่มีข้อถกเถียงใดจากชาวมังสวิรัติที่มันจะมาโน้มน้าวพวกเราได้มากพอในการที่จะหยุดกินเนื้อ ประการแรกเลยก็คือ มันไม่สมควรแม้กระทั่งที่จะถกเถียงกันว่ามนุษย์โดยธรรมชาติกินเนื้อหรือไม่ ชนเผ่าพื้นเมืองทั้งหมดได้มอบคุณค่าให้กับการกินเนื้อเป็นอย่างมาก และมันพบเห็นได้โดยทั่วไปว่าป็นเรื่องความปราถนามากกว่า (ถึงแม้ว่ามันจะหาได้ยากและมีกินได้น้อยกว่า) อาหารที่เป็นพืชผัก มนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากการออกหาล่ากินสัตว์ และใช้โอกาสในการล่าสัตว์เล็กๆ (ตามวิวัฒนาการของมนุษย์ในยุด ออสตราโลพิเธคัส Australopithecus) และได้กลายมาเป็นสัตว์นักล่าเองหลังจากนั้นค่อนข้างเร็ว มันมีหลักฐานทางโบราณคดีอย่างสมบูรณ์สำหรับการบริโภคเนื้อท่ามกลางสายพันธุ์มนุษย์มาโดยตลอดช่วงเวลา 3 ล้านปี และไม่มีมนุษย์ก่อนช่วงประวัติศาสตร์ใดเลยที่ถูกค้นพบว่าซากที่หลงเหลืออยู่นั้นประกอบด้วยการกินอาหารที่มีแค่พืชผักเท่านั้น ขณะที่ข้อถกกียงที่ว่า ชนล่าสัตว์และเก็บหาพืชผล (hunter-gatherers) ควรที่จะถูกเรียกให้ถูกต้องมากกว่า ว่า นักเก็บเกี่ยวพืชผลและนักล่าสัตว์ (gatherer-hunters) นั้นก็คูควรที่จะถูกเรียกเช่นนั้นอยู่ (เนื่องจากว่าสังคมชนพื้นเมือส่วนใหญ่มีคนส่วนที่ทำหน้าที่เก็บเกี่ยวพืชผลมากกว่าคนที่เป็นนักล่าสัตว์ในวันใดก็ตามที่ออกล่า พวกเขาได้พลังงานประจำวันจากพืชผัก และเพราะว่าการออกเก็บพืชผักประสบผลสำเร็จเสมอ) พืชผักไม่มีแนวโน้มที่จะวิ่งหนีในขณะที่การล่าสัตว์ไม่ใช่เช่นนั้น) มันจึงเป็นมากกว่าความชัดจัดเจนจากบันทึกอันเป็นที่ยอมรับของนักมนุษยวิทยาที่ว่า เนื้อสัตว์ คือส่วนที่สำคัญของอาหารธรรมชาตของมนุษย์ ชาวมังสวิรัตต่างๆ (และโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาววีแกน) กล่าวอ้างกันอยู่บ่อยๆถึงเรื่องการมีคุณธรรมสูงว่าการกินอาหารของพวกเขาทำให้มีการทรมานน้อย หรือปราศจากการทารุณกรรม  ความจริงก็คือ เรายังเป็นสาเหตุของการทรามานและการทารุณจากการขุดหน้าดินเพื่อปลูกมันสำปะหลัง มากกว่าถ้าเรายิงกระรอกหรือเราตกปลาได้ (และในการขุดดินเราก็ฆ่าไส้เดือนหลายตัว ฆ่าแมลง ตัวอ่อนหนอนและจิ้งหรีดตัวเล็วๆไปโดยไม่รู้ตัว) ถ้าหากเรายิงกระรอกหรือเราตกปลาได้ นอกจากนี้ อย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันไม่ใช่เป้าหมายของชีวิตและวิวัฒนาการเพื่อที่จะไม่ก่อให้เกิดการทรมานใดๆหรือเพื่อจะมีสัตว์จำนวนมากที่สุดของทุกสายพันธุ์ในสภาพแวดล้อมหนึ่งๆ สัตว์บางชนิดสามารถทำลายสภาพแวดล้อมของพวกเขาองได้ ถ้าหากจำนวนของสัตว์นั้นๆไม่สามารถตรวจสอบได้ ดังนั้นมันจึงมีเหตุผลในมุมมองด้านนิเวศวิทยา เพื่อที่จะควบคุมจำนวนของพวกเขาเล็กน้อยกับความเหมาะสมตามธรรมชาติ นี่คือสิ่งที่นักล่าหลายชนิดทำกับสัตว์ที่พวกเขาล่า ตัวอย่างเช่น หมาป่า ช่วยรับผิดชอบร่างกายของกวางขนาดใหญ่และฝูงกวางต่างๆ โดยการฆ่าตัวที่ป่วย ฆ่าตัวแก่และตัวที่ไม่แข็งแรง นั่นเป็นการเหลือ กวางตัวที่แข็งแรงกว่าไว้ให้กับฝูงกวางและเป็นการป้องกันตัวที่พวกเขาล่าจากการทรามานนาน มันยังคงมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้นอีกจาก การก่อตั้งหลักสูตรใหม่ล่าสุดของสาขาประสาทวิทยาพืช (plant neurology) ที่บ่งบอกว่า พืชเองก็ทรมานได้ด้วยเช่นกัน และพวกเขารู้สึกเจ็บ เครียด กลัว รวมถึงอีกหลายๆอารมณ์เช่นเดียวกันกับสัตว์อย่างพวกเรา คุณทำให้เกิดอันอรายได้ทุกๆครั้งที่คุณเก็บเกี่ยวพืชต้นหนึ่ง (หรือ แม้กระทั่ง ส่วนหนึ่งของมัน) การหลีกเลี่ยงการทำอันตรายทุกอย่างๆนั้นคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ถ้าคุณต้องการที่จะดำเนินชีวิตต่อไป  การค้นพบเหล่านั้นยังถือว่าเป็นเรื่องที่ยังแย้งกันหรือเป็นเรื่องที่ยังถกเถียงถึงความจริงกันอยู่ (โดยทั่วไปข้อถกเถียงจะอยู่ในกลุ่มคนที่ยังไม่ได้อ่านอะไรเกี่ยวกับประเด็นนี้) และถูกเยาะเย้ยจากชาวมังสวิรัติและชาววีแกนกับข้อถกเถียงเดียวกันของชาวกินเนื้อสัตว์ใจบุญที่ใช้ต่อต้านเรียกร้องสิทธิขอองสัตว์ก็มีความรู้สึก กล่าวไว้โดยชาวมังสวิรัติและชาววีแกน พวกเราของแนะนำหนังสือที่ควรค่าแก่การอ่านมากๆเกี่ยวกับประเด็นเรื่องนี้ คลิกดูตามลิงค์หนังสือแนะนำ [1, 2, 3] เราต่างก็เปรียบเสมือนสัวต์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ และดังนั้นเราก็ทำให้เกิดอันตรายบางอย่างต่อสัตว์ที่เล็กกว่า (เช่น มดต่างๆที่เราเหยียบมันโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือตอนที่เราตียุงแรงๆโดยสัญชาตญาณ) และบางครั้งเราก็ทำใหกิดอันตรายต่อสัตว์ที่ใหญ่กว่าได้อีกด้วย เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องพิเศษอะไรในธรรมชาติและพวกเราชาวมนุษย์ไม่มีข้อบังคับทางศีลธรรมแต่อย่างใดเลยเพื่อจะยับยั้งการกระทำที่เป็นธรรมชาติ   ชาวกินมังสวิรัติมีความสมเหตุสมผลได้นานแสนนานเมื่อแหล่งเนื้อของคุณหาได้แค่จากห้างสรรพสินค้า แต่ใครก็ตามที่ต้องการอาศัยอยู่ในพื้นที่ดินของตนเองจะมีเนื้อกินได้ง่ายมากกว่า ทั้งทางด้านอาหารและเรื่องรสชาติอันน่าทึ่ง ถ้ากินเนื้อสัตว์เป็นส่วนหนึ่งของอาหารบางครั้งบางคราว การฆ่าสัตว์และพืชคือบางสิ่งบางอย่างที่ไม่มีใครสามารถที่จะหลีกเลี่ยงมันได้ ดังนั้นมันจะดีมากกว่าในการที่จะ ยอมรับว่า การฆ่าคือส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต (ความตายคือค่าตอบแทนของชีวิต)  และ เป็นไปอย่างตระหนักรู้ อย่างตั้งใจ และเปี่ยมไปด้วยการเคารพ มีคนที่พยายามโน้มน้าวพวกเราว่า กินเนื้อสัตว์เป็นเรื่องไม่ดี และเราควรที่จะปล่อยให้สัตว์อยู่ของมันไป ประการแรกเลย มันเป็นเรื่องที่เฉพาะเจาะจงมากที่ใครบางคนที่ไม่รู้จักหรือคุ้นเคยเลยกับสภาพแวดล้อมที่พวกเราอาศัยอยู่ มาคิดว่าเขารู้ดีมากกว่าพวกเราว่าเราควรกินอะไร (โปรดอ่าน: อะไรที่ในสิ่งแวดล้อมของพวกเรามีอย่างอุดมสมบูรณ์) ประการที่สอง มีเพียงแค่ใครบางคนเท่านั้นที่มีแนวคิดในแบบของนักล่าอานานิคม (colonizer) นักเผยแพร่ศาสนา (missionary) กลุ่มพวกที่นิยมลัทธิฟาสซิสต์ fascist (หรือเป็นแนวคิดของคนที่เป็นชาตินิยมสูงไปจนถึงคลั่งชาติของตนว่าอยู่เหนือกว่าชาติอื่นๆ บริหารด้วยระบบเผด็จการแบบทหารนิยม) หรือในแบบของ กองกิสตาดอร์ conquistador (คือกลุ่มนักสำรวจ กองทหาร นักผจญภัยชาวสเปนและโปรตุเกส ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 และ 16 ซึ่งเป็นยุคแห่งการสำรวจ) ถ้ามันจะแตกต่างกันมากนัก การที่เขาคิดว่าเขาไปที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้และไปบอกผู้คนว่าอะไรดีมากท่สุดสำหรับพวกเขา (มีอยู่ครั้งหนึ่งพวกเราได้พบกับชาวมังสวิรัติคนหนึ่งที่บอกกับเราเช่นนั้น เมื่อเราชี้แจงไปยังประเด็นของสังคมชาวเอสกิโม ที่เขาคิดว่ายังไงก็ตามผู้คนไม่ควรที่จะอาศัยอยู่ในสภาพอากาศเช่นนั้น) นั่นมันคือการกล่าวหาอย่างตายตัวจากบางคนที่มี environmental footprint หรือ ที่เรียกันว่า พิมพ์เขียวสิ่งแวดล้อม (คำจำกัดความนี้หมายถึงว่ากิจกรรมใดๆที่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมทั่วโลก) มากกว่าชาวเอสกิโมห้าสิบคนรวมกันจากกิจกรรมทางสิ่งแวดแวดล้อม อืมพวกเราจึงคิดว่ายังไงก็ตามผู้คนไม่ควรที่จะอาศัยอยู่ในเมือง!  สำหรับแขกผู้มาเยี่ยมเยือนและคนอาสาสมัครของพวกเรา พวกเราจะไม่บังคับการกินอาหารของพวกเรา ถ้าหากใครคนหนึ่งเข้าพักกับพวกเราไม่ว่าจะเป็นแขกอื่นๆหรืออะไรก็ตาม ซึ่งงดกินเนื้อสัตว์ พวกเราตระหนักเป็นอย่างดีเกี่ยวกับปัญหาโดยธรรมชาติของการบริโภคเนื้อในสังคมอุตสาหกรรม และปัญหาต่างๆเหล่านั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเรา อย่างไรก็ตามแต่โดยส่วนใหญ่แล้วพวกราก็กินพืชผักเป็นอาหาร และถ้าหากเรามีโอกาสได้เนื้อสัตว์เราก็จะไม่ทำอาหารอื่นเพิ่ม  คนที่มีพฤติกรรมหัวรั้นมากเกินไป เช่น ถามกับเราว่า (มันมีน้ำปลา มีกระปิในอาหารไหม?) นั่นคือสัญญาณของการไม่รู้จักคุณค่าและไม่ให้ความนับถือสำหรับพวกเรา ถ้าคุณไม่ชอบเนื้อสัตว์ ก็แค่เหลือมันไว้ในหม้อได้

No comments.