กินอะไรดี – ตอน Zero (ฉบับย่อ)

กินอะไรดี ถ้าอาหารในร้านค้าหมด

มาดูวิธีการเรียบง่าย ใช้ในระดับท้องถิ่น กับเรื่องระบบความยืดหยุ่นทางอาหาร และความมั่นคงทางอาหารในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ตอน Zero: บทนำ –ปัญหาคืออะไร? (What’s the Problem?)


บทคววามตอนนี้คือฉบับย่อ หากต้องการอ่านฉบับเต็มกับรายละเอียดเพิ่มเต็มที่ชัดเจนยิ่งกว่าคลิกที่นี่
หมายเหตุ: บทความตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของบทความทั้งชุด ซึ่งเราพาไปสำรวจหาหนทางออกสำหรับมรสุมปัญหาที่เราเผชิญกันอยู่ทุกวันนี้ คลิกกลับไปยังหน้าแรกพร้อมสารบัญทั้งหมดที่นี่

ในปี 2013 โลกได้เข้าถึงจุดสำคัญทางสภาพภูมิอากาศ กล่าวคือ โลกเข้าถึงจุดที่ระดับความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มสูงขึ้นถึงเป็น 400ppm ทุกวันนี้เราอยู่ในระดับ 420ppm ครั้งสุดท้ายที่โลกได้เผชิญกับความเข้มข้นสูงในระดับนี้จากก๊าซเรือนกระจกที่รู้จักกันมากสุดก็คือ เมื่อ 2.6 ล้านปีที่แล้วเป็นอย่างน้อย (มนุษย์ที่มีกายวิภาคปัจจุบัน ดำรงอยู่บนโลกมาเพียงราว 300,000 ปี) ตอนนั้นระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงกว่าเป็น 10 เมตรในระดับปัจจุบัน เพื่อความชัดเจนยิ่งขึ้น เรามาดูแผนภูมิเส้นกราฟทั้งสองแบบที่แสดงถึงระดับความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ยึดตามเวลาประวัติศาสตร์ ดังนี้:

แผนภูมิเส้นกราฟที่ (Figure 0.1) แสดงถึงหลักฐานทางประวัติศาสตร์อันยาวนาน เส้นกราฟที่พุ่งสูงขึ้นกว่าช่วงอื่นในระดับความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์คือระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนภายในช่วงเวลา 800,000  ปี เป็นอย่างน้อย อาจจะนานกว่านั้นอีกก็ได้ ที่สภาพภูมิอากาศไม่แน่นอนอย่างรุนแรง ทีนี้มาดูเส้นกราฟที่แสดงถึงช่วงเวลาที่ค่อนข้างนานของการมีสภาพอากาศคงที่เหมือนในยุคโฮโลซีน ( ดูแผนภูมิเส้นกราฟที่ Fig.0.2) ซึ่งเป็นช่วงที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นตามช่วงเวลาประวัติศาสตร์ เพื่อจะเปรียบเทียบดูว่าเชื่อได้หรือเปล่า โปรดจำไว้ว่าทุกอย่างที่เล่าเรียนกันมาในหห้องเรียนประวัติศาสตร์นั้น เป็นแค่สิ่งที่กิดขึ้นในช่วงเวลาไม่กี่พันปีเอง ซึ่งคิดเป็นน้อยกว่าหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของช่วงระยะเวลาที่แสดงในกราฟแรก
แผนภูมิเส้นกราฟที่ (Figure 0.2) แสดงถึงช่วงเวลาที่ขยายเข้ามาดูต่อจากกราฟแรก เริ่มต้นช่วงที่สภาพอากาศเปลี่ยนแบบคงที่มาตั้งแต่ช่วงแรกของยุคโฮโลซีน เมื่อ10,000 ปีที่แล้วโดยประมาณ มาจนถึงระดับปีปัจจุบันนี้ มีหลายวัตธรรมที่เริ่มทำการเพาะปลูกอย่างแน่นอนในช่วงเวลา 10,000 ปีที่แล้ว และดูเส้นกราฟที่เริ่มพุ่งสูงขึ้นด้านหน้าคือจุดเริ่มต้นของช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution)

มีแหล่งข้อมูลสำคัญมากที่สุดชิ้นหนึ่งซึ่งถูกมองข้ามไป เพื่อจะทำความเข้าใจได้ว่าเรากำลังอยู่จุดไหน ดูได้จากบทความวิจัยที่ชื่อว่า Our hunter-gatherer future: Climate change, agriculture and uncivilization  งานเขียนฉบันนี้ได้ผ่านการยืนยันรับรองความถูกต้องจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านแล้ว เขียนโดย John M. Gowdy ตีพิมพ์ในวารสาร Futures ในปี ค.ศ. 2020 (มีในฉบับแปลภาษาไทย สามารถดาวน์โหลดเอกสารได้ที่นี่) Gowdy กล่าวไว้อย่างตรงไปตรงมาว่า “สภาพภูมิอากาศหลังยุคโฮโลซีนจะไม่สามารถทำเกษตรกรรมได้อีก”

แนวโน้มที่ชัดเจนก็คือ ผลผลิตทางการเกษตรถูกจัดอยู่ในสภาวะถดถอยลดลงในอีก 10 ปี ข้างหน้าที่กำลังจะมาถึงนี้ ได้แก่ ระดับอุณหภูมิโลกสูงขึ้น ความแปรปรวนของปริมาณน้ำฝนที่ไม่มีความแน่นอนเลย และสภาพภูมิอากาศรุนแรงแบบสุดขั้ว จะส่งผลให้ผลผลิตลดลงและพืชเกษตรล้มตาย ราคาของน้ำมันเชื้อเพลิงและราคาปุ๋ยสังเคราะห์ถูกกำหนดให้อยู่ในจุดที่ยุ่งยากซับซ้อนมากไปกว่าเดิม  ดูคำอ้างอิงที่ยกมาจากบทความวิจัยด้านบน ดังนี้:

ภายในปี ค.ศ. 2050 สถานะการณ์จำลองทางสภาพอากาศของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับกลางๆชี้ให้เห็นว่า ธัญพืชจำพวกข้าวจะมีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในประเทศแถบละติจูดกลาง เช่น ในพื้นที่ของประเทศจีน สหรัฐอเมริกา ยุโรป ยูเครน ซึ่งก็เป็นกลุ่มประเทศที่เป็นอู่ข้าวอู่น้ำของโลก ดูจากความไม่แน่นนอนในแต่ล่ะปี ก็จะเห็นความผันผวนของสภาพอากาศตามธรรมชาติที่มีระดับอุณหภูมิสูงกว่า มันก็จะยิ่งสูงมากกว่านั้นอีก ผลกระทบต่อพืชเศรษฐกิจจะโดนหนักกว่าและรุนแรงยิ่งกว่า

แผนภูมิเส้นกราฟที่ (Figure 0.3) แสดงถึงผลการศึกษาแบบจำลองสภาพการณ์ส่วนใหญ่ ได้ลงความเห็นตรงกันว่า การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศจะส่งผลทางลบต่อ ผลผลิตของพืชเศรษฐกิจนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2030 เป็นต้นไป ผลการคาดการณ์เกือบจะครึ่งหนึ่ง ได้แสดงให้เห็นว่าจะมีผลผลิตทางเกษตรลดน้อยลงมากยิ่งว่านั้นอีก คิดเป็น10 เปอร์เซ็นต์ จัดอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 2050  https://ccafs.cgiar.org/bigfacts/#theme=climate-impacts-production

นอกจากนี้ ยังมีรายงานจากองค์กรพิสูจน์หลักฐานสหรัฐฯ หรือ US National Intelligence Council (NIC) รายงานชื่อว่า Southeast Asia: The Impact of Climate Change to 2030 – Geopolitical Implications  ได้กล่าวอย่างเปิดเผยไว้ว่า ผลลัพธ์โดยรวมจากปัจจัยของการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ และปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมอื่นๆ อย่าง ทางสังคม ทางการเมือง และปัจจัยทางเศรษฐกิจ จะสามารถทำให้รัฐบาลประเทศหนึ่งหรือมากกว่านั้นไร้อำนาจและล้มเหลวไปภายในภูมิภาค ราวปี ค.ศ. 2030 [เน้นย้ำว่าสำคัญ] 

เรายังคงอยู่ห่างไกลจากปัญหาตรึงเคียดดังกล่าวเป็นอีกหลายปี หรือ แม้แต่เป็นอีกสิบปี แต่แล้วเพียงแค่สถานการณ์โควิด19 ที่เกิดขึ้นเพียงสองปี และการปะทะกันอย่างฉับพลันของสงครามครั้งใหม่ เศรษฐกิจกำลังตกต่ำ ประสบภาวะเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วงชีวิตของพวกเรา ราคาน้ำมัน ราคาปุ๋ยเกษตร และราคาอาหารพุ่งพรวดสูงขึ้นอย่าฉับพลัน (คือทุกสิ่งอย่างมันเชื่อมโยงติดกันหมด!) รวมถึงเรื่องการขาดแคลนอาหารที่คงจะกลายมาเป็นวิกฤติใหญ่ทั่วโลก เรื่องราคาอาหารแค่เรื่องเดียว ก็สะท้อนให้มองเห็นถึงความขาดแคลนต่างๆ เช่น ทางวัตถุดิบ น้ำมัน สำหรับทำการเพาะปลูก เก็บเกี่ยว ขนส่ง และการกระจายสินค้าออกไป แน่นอนล่ะว่า ชั้นวางของขายสินค้าก็ยังคงจัดวางอยู่เต็มชั้นเป็นส่วนใหญ่ทั่วโลก แต่อย่าปล่อยให้ตัวเองเข้าใจผิดไปเกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงทางอาหารเชียวล่ะ!

ถ้าหากทั้งหมดที่กล่าวไปฟังดูดราม่าเกินไปสำหรับคุณ หรือมันทำให้คุณตกใจที่ได้มองเห็นภาพความย่ำแย่มากกว่าเดิมอีกเท่าไหร่ เราขอแนะนำให้อ่านหนังสือ The Uninhabitable Earth- Life after warming by David Wallace-Wells (ชื่อหนังสือฉบับแปลภาษาไทย: โลกละลาย-เมื่อมนุษย์ไม่อาจอาศัยอยู่บนโลกได้อีกต่อไป) หรืออ่านบทความทางวิชาการเฉพาะกิจ Deep Adaptation paper  เขียนโดยศาสตราจารย์ ดร. Jem Bendell (ดาวน์โหลดฉบับแปลภาษาไทย) ทั้ง David และ Jem ใช้เวลาตรวจทานงานวิจัยเป็นหลายเดือนถึงผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศจากทุกสารทิศทั่วโลก และทั้งสองท่านก็ได้บทสรุปมาอย่างมั่นใจไว้ว่า ถ้าคำนึงดูแล้วว่ามันต้องทำยังไง และหากเราไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเรา อารยธรรมยุคใหม่ก็ดูเหมือนจะล่มสลายลงได้ในอีกไม่หลายปีข้างหน้านี้ หรือ ในอีกสิบปีข้างหน้าก็เป็นได้

แน่นอนว่าทั้งหมดนี้อาจจะฟังดูเหมือนจะเป็นวันโลกวินาศ แต่สิ่งสำคัญที่ต้องคิดไว้ก็คือ การที่อารยธรรมล่มสลาย ไม่ได้หมายความว่า มันคือจุดจบของเผ่าพันธุ์มนุษย์ และมันก็ยังมีความเป็นไปได้ที่มนุษย์บางส่วนจะยังอยู่รอดต่อไปได้อีกหลายศตวรรษข้างหน้า (ผลการคาดการณ์ที่โด่งดังสุดชี้ไว้ว่า ณ ระดับอุณหภูมิโลกที่ 4 องศา โลกเราจะหล่อเลี้ยงผู้คนได้น้อยกว่าหนึ่งพันล้านคน และจากการคาดการณ์ล่าสุดของคณะ IPCC ชี้ไว้ว่า โลกเราจะอยู่ในอุณหภูมิระดับนี้ ราวปี ค.ศ. 2100 ถ้าเราไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย) นอกจากนี้ การล่มสลายของอารยธรรม หรือ collapse of civilization มันจะดูไม่เหมือนกับในหนังโด่งดังฮอลลีวูด อย่าง เรื่อง Mad Max (แมดแม็กซ์) หรือ World War Z (มหาวิบัติสงคราม ซี)  “การล่มสลาย หรือ Collapse” หมายถึงเพียงว่า การลดระดับความยุ่งยากซับซ้อนลง พูดในแง่ดีก็คือ คนในสังคมจะดำรงอยู่ได้ง่ายยิ่งขึ้น ถึงอย่างไรก็ตาม โลกกำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และเราต้องปรับตัวให้เร็วยิ่งกว่านั้นอีก ยิ่งเราเริ่มต้นเร็ว มันก็จะยิ่งดี เมื่อเราได้พบว่าโลกมีความไม่มั่นคงสูงขึ้น ประเด็นที่สำคัญและเร่งด่วนสุดๆก็คือ ทั้งเราและลูกหลานของเราจะเลี้ยงดูตัวเองต่อไปกันอย่างไร หากไม่มีระบบเกษตรกรรม

บทความตอนนี้จะพาไปดูกลยุทธ์บางส่วน เพื่อจะใช้รับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ (climate change) ด้วยการปรับเปลี่ยนทางเลือก ทางเลือกแรกที่ขอบอกให้นั่นก็คือ ในแบบวิถียังชีพ หรือ subsistence mode  มันคือวิธีการทำสวนผสมที่มีต้นไม้เยอะ กล่าวคือ เป็นกลยุทธ์ที่ผสมหลักการของทฤษฎีเกษตรกรรมถาวร (permaculture) ทฤษฎีนิเวศเกษตร (agroecology) และทฤษฎีของวนเกษตร (agroforestry) ซึ่งวิธีการเหล่านี้ได้รับแรงจูงใจมาจากระบบนิเวศท้องถิ่นของพวกเราเอง จากเทคนิควิธีการเลี้ยงชีพของชนพื้นเมือง และจากประสบการณ์ของการฝึกทดลองทำดูที่สวนฟื้นฟูวิถียั่งยืน  โดยมีเป้าหมายหลักคือ เพื่อสร้างเป็นสวนป่าที่มีชั้นไม้อย่างหนาแน่นและอุดมสมบูรณ์ “สวนป่าอาหาร หรือ  Food Jungles” (ดูตอนที่ 1) ซึ่งมีความทนทานสูงต่อสภาพอากาศรุนแรงสุดขั้ว พืชล้มตายน้อยกว่า และสวนป่าอาหารสามารถให้แหล่งอาหารหลากหลายและสมบูรณ์ได้โดยที่ไม่ต้องทำงานหนักมากเกินไป ในขณะเดียวกันสวนป่าอาหารก็จะช่วยดดูดซับกักเก็บก๊าซคาร์บอนได้ไปในตัว มันช่วยทำให้สภาพอากาศเฉพาะพื้นที่เย็นขึ้น ช่วยให้เกิดฝน และสร้างแหล่งที่อยู่อาศัยให้สัตว์ป่า ด้วยความยืดหยุ่นดังกล่าวนั้น ทั้งความหลากหลาย ความมั่งคงและการผลิตอาหารกินได้ในระดับท้องถิ่น คือเรื่องที่จำเป็นต้องทำกัน เพื่อปรับใช้รับมือ หรือ เพื่อหลีกเลี่ยงความทุกข์ทรมาน จากความแปรปรวนทางสภาพอากาศในระดับที่คาดไม่ถึงมากก่อน จากการถดถอยทางผลผลิตการเกษตร และจากอารยธรรมโลกาภิวัตน์ล่มสลายลงเรื่อยๆ ภายใต้ปัญหาหนักอันอึ้งของมันเอง!

คำถามที่เราพยายามหาคำตอบกันก็คือว่า  เราจะปรับตัวกันอย่างไรต่อสถานการณ์ใหม่นี้ และเราจะกินอะไรดีในโลกที่ห้างสรรสินค้าและทุ่งนาปลูกข้าวเป็นเรื่องของอดีตไปแล้ว?


หมายเหตุ: บทความตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของบทความทั้งชุด ซึ่งเราพาไปสำรวจหาหนทางออกสำหรับมรสุมปัญหาที่เราเผชิญกันอยู่ทุกวันนี้ เราจะลงบทความตอนต่อไปเป็นระยะๆ คลิกอ่านต่อที่นี่ ตอนที่ 1: การทำสวนป่าอาหาร – เราเรียนรู้อะไรจากธรรมชาติได้บ้าง
หรือคลิกกลับไปยังบทนำได้ที่นี่


คุณชอบบทความชิ้นนี้ไหม? ถ้าบทความแนว “มุ่งอธิบายแนวคิดเป็นองค์รวม” มีประโยชน์ต่อคุณอยู่บ้าง สามารถร่วมสนับสนุนงานเขียนของเราได้ ผ่านการส่งปัจจัยบริจาค (ตามคุณค่าที่คุณได้รับ) งานเขียนแนวนี้เกิดขึ้นมาจากความตั้งใจที่เรามุ่งสร้างความเข้าใจใหม่ที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นให้กับผู้คนในสังคม ด้วยการสละเวลาส่วนตนของเราเองเพื่อเป็นกระบอกเสียงในแบบที่แตกต่างไปจากมุมมองเดิมในอดีต ติดต่อส่งความคิดเห็น หรือ อยากวิเคราะห์วิจารณ์งานเขียนได้โดยตรงได้ที่อีเมล์ amoolnam@gmail.com หรือต้องการส่งปัจจัยบริจาคให้กับโครงการอิสระของเรา โครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์ธรรมชาติ สวนฟื้นฟูวิถียั่งยืน ได้โดยสแกนคิวอาร์โคดด้านล่างนี้ โครงงานของเรายังอยู่ในระยะเริ่มต้น ซึ่งไม่มีรายได้เป็นประจำ เราขอขอบคุณทุกท่านมากยิ่งที่สนับสนุนผลงานของเรา ทุกการบริจาคถือเป็นแรงผลักดันให้เราได้ศึกษาค้นคว้างานวิจัย เขียนบทความ แปลงาน และแบ่งปันความรู้ในแบบองค์รวมให้กับผู้คนในสังคมสืบต่อไป!

No comments.