เกษตรกรรมแบบไม่กระทำ (Do-nothingFarming) คืออะไร บางคนอาจจะถามขึ้นว่า แล้วทำเกษตรแบบไม่กระทำมันจะได้อะไรกัน? น่าจะได้ไม่คุ้มเสียนะ! งั้นก็มาอ่านดูความหมายและแนวคิดตามหลักทฤษฎีกันก่อนว่าเกษตรกรรมเช่นนี้คืออะไร
“เกษตรกรรมแบบไม่กระทำ” หมายถึง การทำเกษตรด้วยวิธีการ “ลดการกระทำ” ลดเทคนิคและหลักการในการทำเกษตร ลดการจัดการหรือการออกแบบ ลดงานที่ไม่จำเป็นออกไป ลดการทำงานของเราลง และไปจนถึงขั้นที่ว่ามีงานที่ต้องทำน้อยสุดในระยะยาวเพื่อปล่อยให้เป็นไปตามขบวนการทางธรรมชาติถือเป็นการทำเกษตรด้วยวิธีเรียบง่ายที่สุดด้วยการร่วมมือกับสภาพแวดล้อมด้วยการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ นั่นเอง แต่ไม่ได้มีความหมายว่าไม่กระทำการใดๆเลยตามชื่อที่เรียกนะ แต่จะเน้นกระทำในส่วนที่เป็นหน้าที่ของเราเท่านั้นที่อยากจะได้ผลผลิตที่ดีจากการทำเกษตรแนวนี้ กล่าวคือการทำเกษตรแบบไม่กระทำจะเป็นไปได้ด้วยการดูแลเอาใจใส่ ใครก็สามารถทำได้ทั้งนั้น ฟังดูแล้วมันก็น่าสนใจนะ ทำเกษตรแบบลดงานแถมยังมีผลผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงอีกต่างหาก
แต่ก็มีข้อแม้ว่า: เมื่อคุณตัดสินใจแล้วว่าจะใช้ที่ดินแปลงหนึ่งสำหรับการเพาะปลูกพืชผลหรือผลไม้ คุณก็จะต้องอยู่ดูแลที่ดินแปลงนั้น ดูแลเอาใจใส่สิ่งที่คุณเพาะปลูกไว้ เพื่อที่จะได้เรียนรู้และลงมือปฎิบัติจริงจากแรกเริ่มจนถึงเวลาที่พืชผลให้ผลผลิตและก็เริ่มต้นกระบวนการอีกครั้งไปเรื่อยๆ แต่การทำลายธรรมชาติแล้วก็ทิ้งไปถือเป็นการกระทำที่อันตรายและถือว่าเป็นความไม่รับผิดชอบ
แนวคิดเกษตรกรรมแบบไม่กระทำนี้เป็นอีกแนวทางหนึ่งจากแนวคิดหลักของ คุณ มาชาโนบุ ฟูกูโอกะ (Masanobu Fukuoka) นักปราชญ์ชาวญี่ปุ่นที่ได้ผันชีวิตของตัวเขาจากการเป็นนักวิทยาศาสตร์ในห้องทดลองออกสู่การปฏิบัติจริงที่สวนไร่นาบนภูเขาของเขาตามหลักการเดียวกันของลัทธิเต๋าที่เรียกว่า “อู๋เว่ย” (Wu Wai) หมายถึง ความไร้เจตนา ความเป็นธรรมชาติ และความเรียบง่าย กับสมบัติสามประการ ได้แก่ ความเมตตา ความมัธยัสถ์ และความอ่อนน้อมถ่อมตน ซึ่งเขาได้นำมาใช้เป็นเทคนิคการทำเกษตรกรรมแบบไม่กระทำหรือเกษตรกรรมธรรมชาติมาเป็นเวลากว่า 30 ปี แล้ว และเขาได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับแนวทางแห่งเกษตรกรรมแบบธรรมชาติ (natural-farming) และได้มีการแปลถ่ายทอดเป็นฉบับภาษาไทยแล้วตั้งแต่ปี 2530 และโด่งดังมาเรื่อยๆจนถึง ณ เวลานี้ ยังมีคนรู้จักและแนะนำหนังสือเล่มนี้ให้กันและกันตลอดมา
หนังสือเล่มนี้ชื่อว่า “การปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว: ทางออกของเกษตรกรรมและอารยธรรมมนุษย์” (The One-Straw Revolution) และหนังสือเล่มนี้เองที่จะทำให้เราได้เปลี่ยนความคิดและทัศนคติของตัวเราไปและมีความเข้าใจมากยิ่งขึ้นเกี่ยยวกับ “เกษตรกรรมอย่างแท้จริง” และการอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หนังสือเล่มนี้ยังถือเป็นทางออกสำหรับการแก้ไขปัญหาระบบทางการเกษตรในปัจจุบันได้อย่างชัดเจนเพื่อที่จะยังสามารถทำการเกษตรได้ในอนาคตถ้าหากว่าเราจะนำแนวทางดังกล่าวมาปฏิบัติดูจริงๆ
โดยคุณ ฟูกูโอกะ กล่าวว่า: เป้าหมายสูงสุดของการทำเกษตรกรรมไม่ใช่การเพาะปลูกพืชผล แต่คือการบ่มเพาะความสมบูรณ์แห่งความเป็นมนุษย์ เขามองการทำเกษตรธรรมชาติเป็น (มรรควีถี) หมายถึงแนวทางแห่งจิต จากคำพูดที่ว่า “การอยู่ที่นี่ ดูแลทุ่งนาเล็กๆด้วยความรู้สึกที่เป็นอิสระในแต่ละวันทุกๆวัน นี่คือวิถีดั้งเดิมของเกษตรกรรม” งานเกษตรกรรมซึ่งมีความสมบูรณ์เป็นหนึ่งเดียวจะหล่อเลี้ยงบุคคลหนึ่งทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ เราไม่ได้มีชีวีตอยู่ได้ด้วยอาหารเพียงอย่างเดียว เกษตรกรรมแบบธรรมชาติของ ฟูกูโอกะ ประกอบด้วยแนวทางดังต่อไปนี้
- ไม่ไถพรวนดิน
- ไม่ใส่ปุ๋ย ไม่ต้องทำปุ๋ยอินทรีย์ ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง
- เขาไม่กักน้ำในนาข้าวระหว่างการเพาะปลูก
- ดินในที่นาของเขาไม่เคยถูกไถพรวนมาเป็นเวลากว่า 25 ปี แต่ผลผลิตข้าวของเขาก็ได้เท่ากันเลยกับที่นาที่ถูกไถพรวนดินและใส่ปุ๋ย
- วิธีการเพาะปลูกจะใช้แรงงานน้อยกว่าวิธีการเกษตรแบบอื่นๆและไม่ก่อมลภาวะและไม่จำเป็นต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิงด้วย
- การทำเกษตรกรรมด้วยการประสานร่วมมือกับธรรมชาติ ยิ่งกว่าการพยายามที่จะ “ปรับปรุง” ธรรมชาติอย่างผู้มีชัยเหนือกว่า
- แทนที่จะมีการไถพราวดินเพื่อกำจัดวัชพืชเขาเรียนรู้ที่จะควบคุมวัชพืชโดยการปลูกพืชคลุมดิน จำพวกถั่ว เช่น ถั่วไวท์ โคลเวอร์ และฟางข้าว สำหรับปกคลุมวัชพืชไม่ให้โตเร็วกว่าพืชผลที่เขาพาะปลูกและเมื่อพืชผักเริ่มเติบโตเขาก็จะเข้าไปรบกวนพืชผักน้อยลง (กล่าวคือเขาปล่อยให้พืชผักที่เขาปลูกดูแลกันเอง)
ฉะนั้นแล้วก็มาดูรายละเอียดเกี่ยวกับแนวทางดังกล่าวกันต่อเลย
เกษตรกรรมธรรมชาติประกอบด้วย 4 หลักการ ดังนี้
1.ไม่มีการถางหรือไถพรวนดิน คือพื้นฐานของเกษตรกรรมธรรมชาติ เนื่องจากพื้นดินมีการไถพรวนเองตามธรรมชาติอยู่แล้วด้วยการเข้าแทรกซอนของรากพืชผักรากต้นไม้และการกระทำของพวกจุลินทรีย์ทั้งหลาย สัตว์เล็กๆที่อาศัยในดินและที่สำคัญสุดคือ ไส้เดือนนั่นเอง
2.ไม่มีการใช้ปุ๋ยเคมีหรือทำปุ๋ยหมัก การที่มนุษย์นำเอาสารแปลกปลอมใส่ลงไปในดินก็อาจจะเกิดความเสียหายของสภาพดิน เช่นว่า หน้าดินขาดความสมบูรณ์ ดินเปลี่ยนสภาพ เช่น ดินจืด แต่ถ้าปล่อยดินให้อยู่ในสภาพของมันเองดินก็จะรักษาสภาพความสมดุลของตัวเองไว้ได้ ปุ๋ยเคมีที่ใช้กันทั่วไปจำนวนมากๆ เช่น แอมโมเนีย ซัลเฟต ยูเรีย ซุปเปอร์ฟอสเฟต และชนิดอื่นๆ พืชผักจะดูุดซึมสารพวกนี้ไปใช้เพียงบางส่วนเท่านั้น ที่เหลือนอกนั้นจะถูกชะลงสู่ลำธารและแม่น้ำและในที่สุดก็ไหลลงสู่ทะเล ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ส่งผลกระทบไปยังสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในน้ำทุกชนิด ดังนั้นจำเป็นหรือไม่ที่เราจะต้องใส่ปุ๋ยเคมีดังกล่าว
3.ไม่มีการกำจัดวัชพืช ไม่ว่าจะเป็นการถางหรือการใช้ยาปราบวัชพืช เพาะว่าวัชพืชก็มีความสำคัญในการสร้างความสมบูรณ์ให้แก่ดินและช่วยให้เกิดความสมดุลในสิ่งแวดล้อมทางชีววิทยา หากจำเป็นต้อง “ควบคุม” วัชพืชแต่ไม่ต้อง “กำจัด” การใช้ฟางข้าวคลุมดินหรือเศษใบไม้แห้งคลุมดินและการปลูกพืชคลุมดินจำพวกถั่วต่างๆ เช่น ถั่วดิน ถั่วเขียว ถั่วแดง ฯลฯ ที่มีความสามารถในการตรึงไนโตรเจนสู่ดินปลูกปนกันไปกับพืชผัก แค่นี้ก็จะหายห่วงเรื่องวัชพืชหรือศัตรูพืชได้
4.ไม่มีการใช้สารเคมี เมื่อพืชผักหรือผลไม้อ่อนแอลงก็เป็นเพราะเกษตรกรได้กระทำผิดกระบวนการทางธรรมชาติ เช่น การไถพลิกหน้าดิน การใส่ปุ๋ยเคมีเข้าไป แต่ในระบบของธรรมชาติไม่พบแมลงชนิดใดที่ก่อปัญหาจนต้องใช้สารเคมีไปกำจัด แต่เมื่อมีการทำเกษตรกรรมแบบใหม่ที่ใช้สารเคมีอย่างหนักก็เลยจำเป็นต้องใช้สารเคมีตลอดไป
“แต่ทางออกของปัญหานี้ก็คือ การหยุดใช้สารเคมีทุกชนิด ปลูกพืชผักผลไม้รวมถึงพืชคลุมดินปะปนกันไป ปลูกพืชผักและผลไม้พื้นบ้านหรือพืชผักและผลไม้ป่าเพราะมีความแข็งแรงและต้านทานต่อโรคเชื้อราและแมลงต่างๆได้ดี ปลูกสมุนไพรร่วมกันกับพืชผักต่างๆเพื่อลดปัญหาแมลงและเชื้อโรคได้เช่นกัน”
จากนั้นเพียงแค่ต้องรอจนกว่าสภาพดินจะได้มีความสมดุลขึ้นอีกครั้งพืชผักและผลไม้เติบโตแข็งแรงและออกดอกออกผลตามฤดูกาล ความสมบูรณ์ของระบบนิเวศก็จะกลับมาพร้อมกับความสมบูรณ์ของสิ่งแวดล้อม เมื่อเวลานั้นมาถึง สารเคมีก็จะไม่มีความจำเป็นต่อเกษตรกรอีกต่อไป
เมื่อคุณลองนำเอาแนวทางดังกล่าวข้างต้นไปปฏิบัติดูคุณก็จะพบว่ามีวิธีการทำเกษตรอยู่ไม่กี่อย่างเท่านั้นที่มีความจำเป็น และคุณก็จะพบว่าปัญหาด้านล่างนี้จะทะยอยเลือนหายไปด้วย อาทิเช่น
- ปัญหาเรื่องการใช้ปปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยอินทรีย์จะหมดไป
- ปัญหาเรื่องการใช้ยากำจัดแมลงหรือวัชพืชต่างๆจะหมดไป
- ปัญหาด้านการลงทุนและลงแรงมากจนเกินไปอย่างไม่จำเป็น จะลดน้อยลงเรื่อยๆ
- ปัญหาด้านสุขภาพของมนุษย์และสุขภาพของสิ่งแวดล้อมในระยะยาวก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิมได้
- ปัญหาทางด้านการก่อให้เกิดสภาวะโลกร้อนหรือมลพิษต่างๆก็จะไม่เกิดขึ้น
- ปัญหาด้านความมั่นคงและยั่งยืนทางการเกษตรก็มีทางออกเช่นกัน
- ปัญหาด้านความอ่อนไหวต่อสภาพแวดล้อมที่เราอยู่ก็จะหมดไป เช่นว่า ถ้าเพื่อนบ้านคุณไม่เห็นด้วยเรื่องการทำเกษตรแบบธรรมชาติ แต่ระหว่างการกระทำตามแนวทฤษฎีนี้คุณจะพบว่ามันไม่มีเหตุผลเอาซะเลยที่เพื่อนบ้านจะมาว่าให้เราเพราะว่าเขายังไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงดีกว่า
- ปัญหาด้านความท้อแท้หรือเบื่อหน่ายก็ไม่เหลือให้รู้สึกเลยเพราะว่าคุณก็จะสนุกอยู่กับพืชผักและผลไม้ที่คุณปลูกไว้เมื่อคุณเห็นวิวัฒนาการของพืชผลของคุณเองแล้วล่ะก็คุณก็จะมีความสุขและตื่นเต้นทุกครั้งที่เห็นดอกเห็นผลที่คุณบ่มเพาะเอาไว้เอง!
- ปัญหาเรื่องเวลาหรือความเร่งรีบก็จะหมดไปเช่นกันเพราะคุณจะมีเวลาว่างมากขึ้นเป็นอีกเท่าตัวแถมยังไม่ต้องเร่งรีบอะไรเลยเพราะมันก็เป็นงานส่วนตัวของคุณไม่มีใครมานั่งบนให้คุณถ้าคุณทำอะไรผิดเวลา เป็นต้น
ปัญหาทั้งหมดที่กล่าวไปนั้นจะหมดไปเพียงแค่เราลองนำเอาแนวทางของเกษตรกรรมแบบธรรมชาติมาปฏิบัติอย่างจริงจัง หรือนำไปปรับใช้ร่วมกับแนวทางของคุณดูว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือไม่
ทั้งนี้ ฟูกูโอกะ เขายังกล่าวอีกว่า: ระบบการเกษตรปัจจุบันตั้งอยู่บนหลักการ 2 อย่าง คือความมักง่ายและความรุนแรง ความมักง่ายก็คือเมื่อคนแลเห็นดินก็จะมองว่ามันเป็นแค่ดินหากปลูกพืชผักหรือผลไม้ ถ้ามันไม่โตก็แค่ใส่ปุ๋ยเคมีบำรุงกันเข้าไป โดยไม่คำนึงถึงด้านโครงสร้างของดินเลย ส่วนความรุนแรงก็คือเกษตรกรส่วนใหญ่มักจะใช้วิธีการกำจัดวัชพืชหรือศัตรูพืชโดยการฉีดพ่นทำลายโดยตรง เช่น ฉีดพ่นยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าเชื้อรา ซึ่งมีความรุนแรงถึงขั้นกับสิ่งมีชีวิตเล็กๆเหล่านั้นก็ลดจำนวนน้อยลงไปทุกที
ระบบเกษตรกรรมในปัจจุบันพยายามแยกตัวออกจากธรรมชาติด้วยวิธีการควมคุมและบังคับธรรมชาติไปในทิศทางที่มนุษย์ต้องการเพื่อสนองต่อความต้องการของคนกลุ่มน้อยที่มีกำลังซื้อ เช่น ปลูกพืชเมืองหนาวในประเทศเขตร้อนหรือในทางกลับกัน รวมถึงการบังคับให้ผลไม้ออกผลนอกฤดูกาล นั้นเป็นไปได้ก็เพราะมีการใช้ปุ๋ยเคมี ฮอร์โมนเร่งการเติบโต ยากำจัดวัชพืชศัตรูพืชและยาฆ่าเชื้อราอย่างหนัก เพื่อที่จะมีพืชผักหรือผลไม้นอกฤดูกาล สิ่งนี้ส่งผลให้เรามองเห็นชัดเจนมากขึ้นว่าทำไมบริษัทที่ผลิตปุ๋ยเคมีและบริษัทที่ผลิตสารเคมีเพื่อการเกษตรกำลังขยายกิจการกันเพิ่มมากขึ้นทั่วโลกก็เพราะว่าเกษตรกรส่วนใหญ่ใช้เทคนิคการทำเกษตรแบบผิดธรรมชาติ ไม่ตามธรรมชาติ และหวังจะเอาชนะธรรมชาติกันให้ได้ แต่ท้ายที่สุดก็ต้องพ่ายแพ้ต่อภัยทางธรรมชาติอยู่ดีไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพของเกษตรกรเองและผู้บริโภคเป็นล้านๆที่ไม่รู้ว่าอาหารที่พวกเขารับประทานกันอยู่นั้น มาจากไหน ถูกผลิตด้วยวิธีการแบบใด และมีคุณค่าทางโภชนาการหรือไม่ เป็นต้น
ถ้าเรามานั่งคิดวิเคราะห์ดูอย่างหนักแน่นเราก็จะพบว่าระบบการเกษตรที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงขึ้นแต่อย่างใด เนื่องจากว่าสูญเสียพลังงานไปมากกว่าที่จะได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ เมื่อเทียบกับระบบเกษตรกรรมดั้งเดิมที่ใช้พลังงานน้อยกว่าแต่กลับได้ผลผลิตที่เป็พลังงานมากกว่าอย่างเหลือเชื่อ!
นอกจากนี้แล้ว ระบบการเกษตรที่ใช้อยู่ในปัจจุบันใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดและไม่อาจหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ได้อีก เช่น น้ำมันดิบ ถ่านหิน ก๊าชธรรมชาติและแร่ธาตุต่างๆในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดของเสียที่เป็นมลพิษต่อ ดิน น้ำ และอากาศ รวมถึงสิ่งปนเปลื้อนที่มากับอาหารที่ผลิตได้อีกต่างหาก นั่นก็คือปัญหาระยะยาวที่ไม่รู้จะแก้ไขได้อย่างไร เลยปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นและกระทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่อย่างนั้น ดังนั้นแล้ว แนวคิดของเกษตรกรรมแบบธรรมชาติจึงถือเป็นหลักการอย่างเป็นรูปธรรมในการเปลี่ยนแปลงอย่างรอบด้าน “การปฏิวัติยุคด้วยฟางเส้นเดียว จะเปลี่ยนระบบการเกษตรปัจจุบันให้เป็นระบบเกษตรกรรมธรรมชาติ เพื่อที่จะยังสามารถทำการเกษตรได้อย่างกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม!
คุณฟูกูโอกะยังอธิบายเกี่ยวกับการเพาะปลูกด้วยว่า หลักการเพาะปลูกมีอยู่ 3 วีธี ดังนี้
- การเพาะปลูกแบบธรรมชาติ
- การเพาะปลูกแบบพื้นบ้าน
- การเพาะปลูกแบบใช้สารเคมี
ทั้งสามวิธีการต่างก็ให้ผลผลิตที่ไม่แตกต่างกัน
การเพาะปลูกแบบธรรมชาติ: จะเห็นความแตกต่างเรื่องของคุณภาพของดินอย่างชัดเจน ดินในที่นาของคุณ ฟูกูโอกะดีขึ้นในแต่ล่ะฤดูกาลตลอดระยะเวลา 25 ปีนับตั้งแต่เขาเลิกไถพรวนดิน ที่นาของเขาอุดมสมบูรณ์มากขึ้นรวมถึงโครงสร้างของดินและความสามารถในการกักเก็บน้ำในดินก็ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในทุกๆปี
การเพาะปลูกแบบพื้นบ้าน: สภาพดินที่ผ่านการเพาะปลูกปลูกเป็นเวลาหลายปีจะคงสภาพเดิม ชาวนาจะได้ผลผลิตตามสัดส่วนของปุ๋ยหมักกับมูลสัตว์ที่พวกเขาใส่ในนา
แต่การเพาะปลูกแบบใช้สารเคมี: “จะไร้ซึ่งชีวิต” และความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติจะถูกผลาญไปภายในเวลาอันสั้นเนื่องจากสารเคมีที่ออกฤทธิ์รุนแรงต่อจุลินทรีย์และอินทรียวัตถุในดินส่งผลให้ระบบการทำงานร่วมกันของสิ่งมีชีวิตในดินบกพร่อง ดินจึงขาดความสมดุลหรือไม่มีสารอาหารในดิน
“เกษตรกรรมธรรมชาติสามารถช่วยฟื้นฟูสภาพดินที่ถูกทำลายจากวิธีการเพาะปลูกอย่างมักง่ายหรือจากการใช้สารเคมีได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
คุณฟูกูโอกะยังยืนยันว่าวีธีการควบคุมโรควัชพืชและแมลงที่ดีสุดก็คือการปลูกพืชผักหรือผลไม้ในสิ่งแวดล้อมที่มีความสมดุลทางระบบนิเวศวิทยา เพราะจะมีความกลมกลืนระหว่างแมลงที่กินแมลงอื่นอาศัยอยู่ร่วมกันส่งผลให้มีปัญหาเรื่องแมลงหรือหนอนกินใบน้อยลงเพราะธรรมชาติดูแลระบบของตัวเองเป็นอย่างดี การเปลี่ยนแปลงไปสู่เกษตรธรรมชาตินั้นต้องใช้เวลามากกว่า 2-3 ปี ขึ้นไป ความจริงอีกหลายอย่างที่เขากล่าวไว้ซึ่งให้แง่คิดดีๆกับพวกเรา อาทิเช่น
“สิ่งที่เคยถูกมองว่าเป็นเรื่องโบราณคร่ำครึและล้าหลังกลับกลายเป็นความก้าวหน้าที่เหนือกว่าวิทยาศาสตร์แผนใหม่อย่างคาดไม่ถึง”
“ธรรมชาติไม่เคยเปลี่ยนแปลง แม้ว่าวิธีการมองดูธรรมชาติจะเปลี่ยนไปอย่างมากจากยุคสมัยหนึ่งสู่อีกยุคสมัยหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะยุคสมัยใด เกษตรกรรมธรรมชาติจะยังคงเป็นต้นกำเนิดของเกษตรกรรมตลอดไป”
“การปลูกผักบ้านกึ่งผักป่า” หมายถึงการปลูกพืชผักและผลไม้หรือสมุนไพรแบบเพียงแค่หว่านเมล็ดพันธุ์นานาชนิดที่คุณชื่นชอบลงสู่พื้นดินตามบริเวณที่ทำการเพาะปลูก เช่นเดียวกับพืชผักป่าและผลไม้ป่าหรือสมุนไพรที่เกิดเองในป่าจากต้นแม่หรือจากสัตว์ที่กินเมล็ดแล้วก็เอาไปปลูกต่อที่อื่น และปล่อยให้พืชผักเหล่านั้นเกิดเองร่วมกันกับวัชพืชต่างๆ จากนั้นคุณจำเป็นจะต้องสอดแนมอย่างละเอียดว่า พืชผักชนิดใดหรือผลไม้อะไรและสมุนไพรชนิดไหนบ้างที่เกิดดี แข็งแรง และทนทาน ต่อวัชพืชหรือชนิดใดที่ไม่เกิดเลยเพราะต่อสู้กับวัชพืชไม่ได้ ด้วยวิธีการลองผิดลองถูกจะช่วยให้เราทราบถึงพืชผักชนิดใดแข็งแรงและเหมาะสำหรับการปลูกแบบกึ่งผักป่าได้ อาจจะเสียเวลาแต่ในสุดท้ายก็ได้ผลลัพท์ที่ไม่ต้องเอากลับมาลองอีกนั่นเอง และคุณประโยชน์ทางโภชนาการของพืชผักผลไม้หรือสมุนไพรที่ปลูกเช่นนี้จะสูงมากกว่าพืชผักหรือผลไม้ที่ปลูกด้วยสารเคมีอย่างสิ้นเชิงและนั่นก็คือที่มาของคำว่า อาหารและยา ซึ่งอาหารและยาไม่ใช่สองสิ่งที่แตกต่างกัน มันเป็นสองด้านเดียวกัน ผักที่ปลูกด้วยสารเคมีใช้เป็นผักได้แต่ใช้เป็นยาไม่ได้ แต่พืชผักและผลไม้รวมถึงสมุนไพรที่ยังเป็นสายพันธุ์เดียวกันกับสายพันธุ์ป่าหรือสายพันธุ์ต้นกำเนิดก็จะมีรสชาติที่ดีและมีคุณค่าทางหาหารสูงมากกว่าสายพันธุ์ที่ถูกตัดต่อพันธุกรรมเป็นหลายพันเท่า! การปลูกมันและเผือกเหมาะสมมากที่จะเอามาปลูกในลักษณะกึ่งป่าเพราะมีความแข็งแรงสูง เพียงแค่ปลูกครั้งเดียวหลังจากนั้นมันก็จะแตกหัวใต้ดินเกิดเองต่อไปเรื่อยๆตามวงจรชีวิตของพืชแต่ล่ะชนิด สมุนไพรหรือเครื่องเทศสำหรับนำไปประกอบอาหาร อาทิเช่น ตระไคร้ ขมิ้น ขิง ข่า กระชาย จำพวกนี้ปลูกง่ายโตเร็วก็ปลูกแบบกึ่งป่าได้อย่างเหมาะสม
อาหารธรรมชาติและการตลาด:
การปลูกผลไม้โดยไม่ใช้สารเคมี ไม่ใส่ปุ๋ยหรือไม่ไถพรวนดินทำให้เสียค่าใช้จ่ายน้อยลง ดังนั้น กำไรสุทธิของเกษตรกรจะสูงขึ้น แต่ถ้าปลูกแบบใช้สารเคมีก็ต้องลงทุนเพิ่มขึ้นและกำไรสุทธิก็เท่ากับที่ลงทุนไปแล้วหรือน้อยกว่าแล้วแต่ว่าคุณเพาะปลูกพืชผักชนิดใด เราจะเลือกแบบไหนล่ะ? แบบแรกหรือแบบที่สอง
อาหารธรรมชาติ หมายถึงอาหารที่เกิดเองตามธรรมชาติหรือที่เก็บเกี่ยวได้จากในป่าหรือในสวนหรือไร่นาของเราเอง ซึ่งไม่มีวงจรของอาหารที่มาจากต่างถิ่น เช่น อาหารกระป๋องต่างๆที่เราเจอในร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตไม่ใช่อาหารธรรมชาติ อาหารที่ถูกบรรจุไว้ในกระป๋องเป็นอาหารที่ผ่านการควบคุมดูแลของเครื่องจักรเพื่อที่ว่าจะสามารถเก็บไว้ได้นานๆและกินได้ตลอดเวลาและต้องใช้เวลาในการผลิตในจำนวนมากรวมถึงต้องขนส่งไปยังจังหวัดต่างๆซึ่งเสียพลังงานไปเยอะแล้วแต่เรื่องพลังงานทางโภชนาการที่เราจะได้กลับมีแค่นิดเดียวหรือไม่มีเลยจากอาหารกระป๋อง ซึ่งในทางกลับกัน ผักป่าหรือผักพื้นบ้านที่เราปลูกไว้ รวมถึง อาหารจำพวก กุ้ง หอย ปู และปลาต่างๆ ที่สามารถหาได้ตามแหล่งห้วยหนองคลองบึงใกล้บ้านหรือในทุ่งนา อาหารเหล่านี้คืออาหารธรรมชาติอย่างแท้จริง ไม่เสียพลังงานในการบรรจุหีบห่อและการขนส่ง แถมยังให้พลังงานทางโภชนาการสูงอีกด้วย และที่สำคัญเรารู้ว่า อาหารที่เรากินนั้นมันมาจากที่ไหน ได้มาอย่างไร เป็นต้น ดังนั้น ระบบเกษตรกรรมจะต้องเปลี่ยนแปลงจากการผลิตด้วยเครื่องจักรขนาดใหญ่มาเป็นเกษตรกรรมขนาดเล็ก ทำงานด้วยตนเองหรือร่วมด้วยช่วยกันภายในชุมชนของตน ลดความเป็นอยู่ทางวัตถุที่ฟุ่มเฟือยและเรื่องอาหารการกินควรจะเรียบง่าย เพื่อที่เราจะได้มีความสุขไปกับการทำงานเกษตร
เกษตรกรรุ่นใหม่ จำเป็นจะต้องสร้างรากฐานที่มั่นคงให้ได้ กล่าวคือจะต้องดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการมีแหล่งอาหารที่ได้จากผืนดินที่ตนเองอาศัยอยู่ ชุมชนที่ไม่สามารถพึ่งพาตนเองทางด้านอาหารจะอยู่ได้ไม่นาน! หากคุณกำลังมีแนวคิดที่จะกลับไปยังถิ่นฐานบ้านเกิดและประสงค์จะทำการเกษตรแบบใดก็ตาม คุณจะต้องให้ความสำคัญทางด้านสุขภาพและจิตวิญญาณทั้งของตัวคุณเองและของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่คุณจะเข้าไปทำการเพาะปลูกอีกด้วย จึงจะถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด การเกษตรแบบไม่กระทำหรือเกษตรกรรมธรรมชาติจึงเป็นเกษตรกรรมทางเลือกอีกอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้พวกเราสร้างความผูกพันธ์กับสิ่งแวดล้อมที่เราอาศัยอยู่ได้อย่างกลมกลืนภายในระยะเวลาอันสั้นถ้าเรานำเอาแนวทางต่างๆที่อธิบายไว้เบื้องต้นไปปฏิบัติอย่างจริงใจและจริงจัง!
สวนฟื้นฟูวิถียั่งยืนของเรา:
ก็ได้นำเอาแนวทางของการเกษตรแบบไม่กระทำและเกษตรกรรมธรรมชาติมาปฏิบัติอยู่หลายแนวทางในการทำสวนเกษตรแบบผสมผสาน อาทิเช่น การปลูกพืชผักหมุนเวียนอย่างหลากหลายปะปนกันไปตามฤดูกาลโดยจะปลูกพืชผักแบบไม่ซ้ำกันในแปลงเดิม ถ้าแปลงไหนปลูกถั่วฟักยาวแล้วครั้งหน้าก็จะปลูกพริก ครั้งหน้าก็จะปลูกมะเขือครั้งหน้าก็จะปลูกฟักทอง หมุนเวียนกันไปเรื่อยๆอย่างเป็นวัฏจักร หรือปลูกพืชผักหลากหลายชนิดในแปลงเดียวกัน (การทดลองเช่นนี้จะทำให้เราทราบว่าพืชผักชนิดใดโตง่ายโตเร็วและแข็งแรงรวมถึงพืชผักชนิดใดบ้างที่เกิดง่ายร่วมกันกับชนิดใดในสภาพดินแบบไหนเป็นต้น) ซึ่งตอนนี้ก็ได้ผลลัพธ์ที่ดีมากพบแมลงที่มากัดกินใบพืชผักก็น้อยลงพืชผักก็โตร่วมกันได้เร็วมาก แต่นั่นก็เพราะว่าพวกเราดูแลดีและเอาใจใส่เหมือนเป็นลูกของเราเลยเชียวล่ะ รวมถึงการปลูกหญ้าถั่วดินสำหรับเป็นพืชคลุมดินและตรึงไนโตรเจนเพื่อปรับความสมดุลของหน้าดินในระยะยาว
และสวนเราจะเน้นปลูกพืชผักพื้นบ้านรวมกันซึ่งสวนเราจะปลูกพืชผักต่างๆประมาณ 3-4 รุ่น เพื่อที่จะได้เก็บเมล็ดพันธุ์ที่แข็งแรงเอาไว้สำหรับการเพาะปลูกต่อไปในแต่ล่ะฤดูกาล วิธีการนี้เราไม่ต้องไปซื้อเมล็ดพันธุ์พืชผักที่ตัดต่อพันธุกรรมมาเนื่องจากไม่สามารถปลูกต่อได้และพืชผักก็ไม่แข็งแรงต้องดูแลเยอะ ฉะนั้นแล้วการที่เราสามารถเก็บเมล็ดพันธุ์พืชผักเพื่อปลูกต่อเองได้จะดีมากที่สุดและมีความมั่นคงในระยะยาว
นอกจากจะเน้นปลูกผักพื้นบ้านแล้วสวนเรายังเน้นกินผักป่าที่เกิดเองตามธรรมชาติอีกด้วย วิธีนี้เราไม่ต้องดูแลผักป่าเลยเพียงแต่เราต้องศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับชนิดของผักป่าตามสภาพแวดล้อมของเราหรืออาจจะจากประสบการณ์ของตนเองร่วมกับการสอบถามกับคนที่รู้จักผักป่าหลายชนิด เช่น คนแก่คนเฒ่าเขาจะยังจดจำผักป่าและผักพื้นบ้านได้ดีมากที่สุด ซึ่งเราเองก็ทำเช่นนั้น เมื่อเรากินผักป่าบ่อยมากขึ้นตัวเราหรือร่างกายของเราจะชินกับรสฝาด รสขม หรือแม้กระทั่งรสเผ็ดได้ เช่น รสชาติข่าป่า จะเผ็ดแรงดีกว่าข่าบ้าน ซึ่งรสชาติเหล่านี้ถือเป็นรสแท้ของพืชผักป่านั่นเอง หลังจากที่เรารู้จักและชื่นชอบในรสชาติของพืชผักทั้งพื้นบ้านและผักป่าแล้วเราก็จะกลับไปกินผักตลาดไม่ได้อีกต่อไป ด้วยความที่ว่ารสชาติของพืชผักป่าที่เกิดเองในธรรมชาติและผักพื้นบ้านที่เราปลูกเองจะมีรสชาติดีมากอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่มีรสที่จืดชืดเหมือนผักตามท้องตลาด
ทั้งหมดที่กล่าวไปสวนของเราก็หวังเช่นกันว่าในอนาคตงานเพาะปลูกของเราจะลดน้อยลงและสามารถที่จะปล่อยพืชผักให้เติบโตเองตามธรรมชาติได้ เพื่อที่จะได้เห็นความสมบูรณ์ของสิ่งแวดล้อมที่ธรรมชาติดูแลกันเองและงานของพวกเราก็จะลดน้อยลงไปเรื่อยๆในแต่ล่ะฤดูกาล!
No comments.