อาหารแบบ Paleo อาหาร Paleo หรือ Paleo Diet คือรูปแบบการกินอาหารในแบบของมนุษย์ยุคหิน ซึ่งก็จะประกอบไปด้วยอาหารที่หาได้ตามสภาพแวดล้อมนั้นๆ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เช่น ปลา พืชผักและผลไม้ ถั่วต่างๆและเมล็ดธัชพืชนานาชนิดที่เกิดเองตามธรรมชาติ ถ้าคุณอ่านดูแนวคิดเกี่ยวกับอาหารแบบอื่นๆดูแล้วมันคงชัดเจนแล้วว่ามันมีรูปแบบในมุมมองเรื่องอาหารของพวกเราว่าเป็นอย่างไร ทั้งหมดนี้สามารถสรุปได้โดยการเรียกการบริโภอาหารของพวกเราเป็นแบบ กึ่ง paleo หรือ (semi-) paleo” นั่นก็คือการกินอาหารแบบกึ่งยุคใหม่และยุคหิน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเราติดตามแฟชั่นการกินอาหารที่กำลังเป็นที่นิมยมนะ เนื่องจาก คำว่า การกินอาหารแบบ ‘paleo diet’ ถูกจัดเข้าอยู่ในรูปแบบการกินอาหารที่มีศิลปะกรรมนิยม (popular culture) มันจึงมีแนวโน้มของความต่างถิ่นบางอย่างจากความหมายหลักๆ ส่วนมากก็เป็นเพราะว่าผู้คนขาดความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องการกินอาหารของนักหาอาหารในยุคหินเก่า (paleolithic) ซึ่งในทางกลับกันกับความคิดเห็นยอดนิยม ที่อาหารของพวกเขาส่วนใหญ่ประกอบไปด้วย พืชผักต่างๆที่แล้วแต่จะหาได้ตามสภาพแวดล้อมนั้นๆ (ยกเว้นแต่ว่า ตัวอย่างเช่น ชนเผ่าอินูอิตหลายกลุ่ม Inuit tribes) เนื่องจากว่าพวกเขาเก็บหาอาหารและพบแหล่งอาหารได้ง่ายกว่าเยอะอย่างความอุดมสมบูรณ์แทบจะทุกพื้นที่ทั่วโลก ตอนนี้อุตสาหกรรมอาหารนำหลักการนี้มาใช้เพื่อจะเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น และมันก็ดำเนินต่อมาจนถึงจุดที่ว่า เกลือหิมาลัยแบบ paleo ได้ถูกขนส่งไปทั่วโลกและน้ำโซดาไม่แต่งกลิ่นและรสชาติ หรือ sparkling soda ก็ได้ขาย และยังเป็นที่น่าสงสัยอีกด้วยเรื่องฉลากที่ติดไว้บนผลิตภัณฑ์ว่า paleo
พวกเรามีคำอธิบายของพวกเราเองว่า (จุดไหนที่เราได้มาถึงหลังจากการวิจารณ์อย่างแพร่หลายของสิ่งตีพิมพ์ในเรื่องประวัติศาสตร์ร่วมสมัยและก่อนประวัติศาสตร์ของชนพื้นเมือง) ของเรื่อง ‘paleo’ หมายถึงอะไรในแง่ของโภชนาการ อาหาร paleo ก็จะเป็นอาหารจำพวก ปลอดสารพิษ อาหารป่าดิบสด อาหารที่เผ็นผักสดและผลไม้สดในปริมาณสูง มีคาร์โบรไฮเดรตต่ำและไม่มีน้ำตาลแปรรูป sugar เนื้อคุณภาพสูง ปลาและแมลงต่างๆ โดยพื้นฐานแล้วก็คืออาหารที่บรรพบุรุษชนนักหาอาหารของพวกเรานั่นเอง และมันก็คืออาหารที่ชนพื้นเมืองยังกินกันถึงทุกวันนี้ ที่ไหนก็ตามที่วิถีชีวิตของพวกเขาไม่ถูกกระทบจากอิทธิพลจากภายนอก กล่าวคือ การเอาของกินเล่นถูกๆและเครื่องดื่มชนิดอ่อนเข้าไปถึงพวกเขา อาหารของมนุษย์ในยุคหินเก่ามีอาหารจำพวกหัวมันและรากต่างๆที่มีแป้งมัน และบางครั้งก็จะมีแป้งในรูปแบบอื่นๆ (เช่นแป้งจากลูกสาเก ลูกขนุนดิบ ขนุน ทุเรียนป่า เมล็ดจำปาดะ ถั่วหลาหหลายชนิด หัวใจของตต้นไม้ตระกูลปาล์มและแม้กระทั่งธัญพืชป่าในบางพื้นที่) ดังนั้นมันจึงเป็นอาหารที่มีคาร์โบรไฮเดตรต่ำ ไม่ใช่อาหารที่ไม่มีคาร์โบรไฮเดรต กล่าวอย่างเคร่งครัดว่า อาหารแบบ paleo ยังมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมอาหารอีกด้วย น้ำมันพืชเป็นเรื่องที่มนุษย์ยุคหินเก่าไม่รู้จัก เช่นเดียวกันกัเบเรื่องเกลือ (ตามเหตุการณ์ส่วนใหญ่) และสัตว์ชนิดอื่นๆที่ไม่ได้มีต้นกำเนิดอยู่ในสภาพแวดล้อมใกล้ชิด อาหาร Paleo เมื่อมีการตระเตรียมจะต้องปฏิบัติตามกฏอย่างเคร่งครัด มันมีรสชาติแบบจืดชืดมากกว่า และโดยปกติแล้วมันจะมีขีดจำกัดในเรื่องการต้ม การคั่ว การย่าง การรมควันและบางครั้งเรื่องการอบ (บนหินที่อยู่ข้างๆกันกับไฟ) การผัก การนึ่ง และการทอดนานๆอย่างเดียวนั้นไม่ใช่อาหารแบบ Paleo อย่างแน่นอน มันมีวิธีการตระเตรียมอาหารที่แปลกและในแบบเชิงพิธีกรรมอีกมาก ตัวอย่างเช่น การทำอาหารในหลุม หรือ pit cooking ที่อาหารถูกทำให้สุกจากก้อนหินร้อนในหลุมที่ขุดไว้ในดินที่ถูกปิดไว้ด้วยใบไม้และขี้ดิน ตามเรื่องของวิธีการเตรียมอาหาร พวกเรายังไม่เคร่งครัดเท่าไหร่ และเราจะทำอาหารไทยเมนูทั่วๆไปบ่อยครั้งกับการใช้น้ำมัน ซอสหอยนางลม และซอสถั่งเหลืองในปริมาณเล็กน้อย เราไม่ใส่เกลือเพิ่มอีก (มันไม่ดีต่อหัวใจของคุณนะ) และเราใช้น้ำตาลนานๆครั้ง (และถ้าใช้ก็จะเป็นน้ำตาลที่ยังไม่ได้แปรรูป คือน้ำตาลก้อนจากดอกไม้ปาล์ม)
การทำแพนเค้กในแบบของชาว Yanomami (สูตรการทำแพนเค้กเราได้เรียนมาจากชนเผ่าในป่าแอเมซอน ทำจากมันสำปะหลังบดโดยไม่ใส่เกลือและน้ำมัน และอบแบบั้งดิมบนก้อนหินแบนๆข้างบนไฟ) ซึ่งเมนูนี้บางครั้งเราก็กินแทนข้าว นั่นก็คือตัวอย่างอาหารแบบ paleo อย่างแท้จริง
ในรูป แพนเค้กอันโด่งดังของชาว Yanomami ของพวกเรา ที่ทำจากมันสำปะหลังบก (อบในกะทะร้อนๆโดยไม่ใส่น้ำมัน) และเราใส่สมุนไพรด้วยกันกับซอสหวานและเผ็ดที่ทำจากกล้วย (จิ้มกับลูกซาฟูตำใส่พริกไทยดำ) กินกับใบผักป่าสดๆ การกินอาหารเหมือนบรรพบุรุษในยุคหินเก่ามีประโยชน์มากสุดต่อสุขภาพของเรา เนื่องจากเหล่าชนพื้นเมืองทั้งในอดีตและปัจจุบันต่างก็มีสุขภาพที่ดีกว่าเยอะมากกว่าเหล่าชาวศิวิไซ์ การทำเกษตรกรรมและการตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เดิมมันได้ปล่อยให้ความพินาศเกิดขึ้นต่อสุขภาพร่างกายของมนุษย์ และจากโรคภัยที่แย่สุดๆหลายอย่างที่มนุษย์ชาวศิวิไลซ์ได้ฟื้นคืนกลับมาค่อนข้างจะไม่นานมานี้เอง (โดยผ่านหาเอารัดเอาเปรียบ และได้ผลลัพธ์ทางการสังเคาะห์ของยาปฏิชีวนะต่างๆที่เกิดเองตามธรรมชาติ)
ทั้งหมดนี้คือเนื้อหาอย่างละเอียดมากๆ ที่เขียนโดย Mark Nathan Cohen ในหนังสือของเขา ดังนี้ “Paleopathology at the Origins of Agriculture” (Academic Press, 1984) และ “Health and the Rise of Civilization” (Yale University Press, 1989) และ “Ancient Health” (University Press of Florida, 2007) * ลิงค์สุดท้าย https://feunfoo.org/#reference
No comments.