อาหารดิบ​

อาหารดิบ (Raw foods)

เช่นเดียวกันกับบรรพบุรุษที่เป็นชนพื้นเมืองของพวกเราและคนในสมัยปัจจับันนี้ พวกเรากินอาหารสดอาหารดิบค่อนข้างเยอะ อาหารเช้าของพวกเรา (รวมทั้งของกินเล่นในแต่ละวันของพวกเรา) ประกอบไปด้วยผลไม้สด มื้ออาหารส่วนใหญ่พวกเรากินใบพืชผักและผักดิบหลากหลายชนิด (เป็นเหมือนการกินสลัดป่าก่อนที่จะกินอาหารมื้อหลักของคุณ)

พวกเราไม่ได้ติดตามหรือสนับสนุนการกินอาหารดิบเท่านั้น ในขณะที่คนที่เขากินอาหารดิบกันก็มีเหตุผลบางอย่างที่ดี แต่ในท้ายที่สุดตามหลักวิวัฒนาการก็พิสูจน์ว่าพวกเขาผิด

 การกินอาหารดิบเยอะคือกุญแจที่จะนำไปสู่การมีสุขภาพดี ทุกๆคนก็รู้ว่า การทำอาหารจะทำลายวิตตามินในอาหารนั้นๆไป แต่นั่นก็ไม่ใช่ทำลายไปหมด หุงต้มอาหารบางอย่างสามารถทำให้เกิดเป็นสารพิษได้หลายชนิด (รวมถึงสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง carcinogens) ซึ่งบ่อยครั้งคือส่วนที่เหลือไว้ให้เราเมื่อพูดเกี่ยวกับประโยชน์ของพืชผักที่เรากิน ใช่แล้วว่าพืชผักสดอุดมไปด้วยวิตตามินหลายชนิด เกลือแร่ต่างๆ น้ำตาลและสารอาหารชนิดอื่นๆ แต่อะไรที่จะเหลืออยู่หลังจากที่เราทำการหุงต้มมันล่ะ?

การหุงต้มอาหารคือดาบสองคม ในอีกทางหนึ่งคือมันทำให้กินไม่ได้หรือแม้กระทั่งพืชที่เป็นพิษอ่อนนุ่มและกินอร่อยได้ และทำหน้าที่เป็นเหมือนก่อนขั้นตอนการย่อยอาหาร การประกอบอาหารบางอย่าง เช่น เมนูเนื้อ การต้มก็จะทำให้เนื้อนิ่มกว่าและง่ายต่อการย่อยมากว่า มันทำให้อาหารปราศจากเชื้อโรคที่หากไม่ต้ม อาจจะมีแบคทีเรียชนิดอันตรายและเข้าไปฆ่าเหล่าปรสิตในท้องได้

หากไม่มีการหุมต้มอาหาร การบริโภคอาหารของพวกเราคงจะดูแตกต่างไปมาก และพวกเราจะต้องมีท้องใหญ่ๆเหมือนกับบรรพบุรุษห่างๆของเรา ได้แก่ โฮโม อีเร็กตัส (homo erectus) และโฮโม habilis (และเหมือนกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่กินดิบชนิดอื่นๆ โดยเฉพาะลิงกอริลลา) การหุงต้มอาหารจึงทำให้เราเป็นส่วนที่ช่วยย่อยภายนอก โดยการทำให้โมเลกุลต่างๆแตกจากลำไส้ของพวกเขาในหม้อหุงต้มนั่นเอง เราใช้เวลาน้อยกว่าและใช้พลังในการย่อยอาหารน้อยกว่าด้วย ดังนั้นร่างกายของเราเหลือเวลาสำรองในการผ่อนคลายสมองที่ใหญ่กว่านิดหน่อยของพวกเรา (เทียบกับโฮโม แฮบิลิส โฮโม อีเร็กตัส โฮโม นีแอนเดอร์ทาล ที่ตามความจริงแล้วมีสมองใหญ่มากกว่าพวกเรา) นอกจากนี้แล้ว หากไม่มีการหุงต้มอาหาร กรามที่ขากรรไกรของพวกเราคงจะยื่นออกเด่นชัดมากกว่านี้ เหมือนกับที่มนุษย์สายพันธุ์อื่นมี (เหมือนกับมนุษย์สายพันธุ์นีแอนเอดร์ทาลหรืออีกสองสายพันธุ์ที่กล่าวถึงด้านบนนั้น) หรือเหมือนกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่น เราคงจะต้องใช้เวลามากยิ่งขึ้นในการเคี้ยวอาหารเพื่อที่จะได้ปริมาณพลังงานแคลลอรี่เดียวกัน

แต่การหุงต้มอาหารก็ยังคงลดปริมาณคุณค่าทางสารอาหารของอาหารชนิดเดียวกันในแง่ของวิตตามินและแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการในปริมาณน้อย นอกจากนั้นอาหารมันก็จะเปลี่ยนรสชาติ ดังนั้น อาหารจึงมีรสชาติดีกว่าสำหรับพวกเรา หลายคนคงจะเห็นด้วยว่า ต้มมันฝรั่ง ต้มฟักทอง ต้มผักขม ต้มกะหล่ำดาว หรือ brussel sprouts และต้มถั่วต่างๆมีรสชาติอร่อยกว่า การหุงต้มอาหารเปลี่ยนองค์ประกอบทางเคมี ผ่านการโดนความร้อนจากการต้ม การคั่ว การย่าง การอบ โมเลกุลที่มีอยู่เดิมก็จะเปลี่ยนเป็นโมเลกุลใหม่ อาหารจึงมีรสชาติหวานขึ้น อ่อนนุ่มขึ้นและเคี้ยวง่ายมากขึ้น การเคี้ยวอาหารที่อ่อนนุ่มมากขึ้นทำให้กรามขากรรไกรมีขนาดเล็กลง (ในขณะที่ฟันของเรายังมีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ไปกว่าเดิม) และมันทำให้ฟันของเราแข็งแรงน้อยลง (กับคาร์โบไฮเดรตที่มากขึ้นถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลก่อนที่มันจะไปถึงท้อง) ดังนั้น ปัญหาเรื่องฟัน เช่น ฟันผุและการถอนฟันจึงเป็นเรื่องที่พบได้ทุกหนแห่ง

กับอาหารหุงต้มเราเปลี่ยนรสชาติของอาหารหาง ดังนั้นอาหารทุกอย่างจึงรสชาติอร่อย ไม่ว่าเราจะต้องการมันหรือไม่นั้น พวกเรามีแนวโน้มที่จะกินมันมากเกินไป ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วจะไม่เกิดขึ้นกับอาหารดิบ เนื่องจากรสชาติเปลี่ยนและเป็นรสชาติที่ไม่ค่อยน่ากินนักเมื่อร่างกายได้รับเพียงพอแล้ว การกินอาหารเยอะเกินไปเป็นประจำคือส่งผลโดยตรงกับปัญหาสุขภาพหลายอย่างและอาจจะเป็นสาเหตุหลักๆของการตายก่อนวัยอันควรในสังคมของพวกเรา

ในการเปลี่ยนรสชาติ เราได้หลอกหลวงหนึ่งในลักษณะสันฐานส่วนใหญ่ที่เราไม่พอใจ นั่นก็คือ สัญชาตญาณของเรา เช่นเดียวกันกับสัตว์ชนิดอื่นๆ มนุษย์มีสัญชาตญาณที่ช่วยให้พวกเขาในเรื่องการเลือกกินอาหารอะไรที่ร่างกายพวกเขาต้องการ สัญชาตญาณนี้ทำงานผ่านการเปลี่ยนเปลี่ยงอันน้อยนิดของการรับรู้รสของพวกเรา ดังนั้นอาหารที่เราต้องการมีรสชาติดีดว่าสำหรับเรา ตัวอย่างที่ชัดเจนสุดก็คือ สับปะรด กินสับปะรดทั้งลูกและปากของเราก็จะเจ็บแสบมาก มันเป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า คุณไม่ได้ฟังสัญชาตญาณของคุณ ซึงมันได้บอกคุณแล้วว่าตอนไหนที่ร่างกายได้รับ โบรมีเลนหรือโบรมีลีนเพียงพอแล้ว (bromelain) (เป็นเอนไซม์ชนิดหนึ่ง มีคุณสมบัติช่วยย่อยโปรตีนให้มีโมเลกุลเล็กลงสกัดได้จากส่วนต่าง ๆของสับปะรด) โดยการทำให้รสชาติเปลี่ยนเป็นกรดมากกว่า แล้วตอนนั้นที่เปลี่ยนเป็นโบรมีเลนมันก็จะโจมตีเยื่อบุชั้นในของปากและสิ้นของคุณ

ทั้งหมดที่ได้กล่าวไปด้านบนนั้น คุณไม่สามารถไปพูดคุยได้กับเรื่อง “อาหารดิบ  vs อาหารสุก”โดยปราศจากการพูดคุยเรื่องไฟ มันควรจะเป็นเรื่องที่ไม่อาจจะโต้แย้งได้ว่ามนุษย์นั้นพึ่งพาอาศัยการใช้ไฟ มันให้ความอบอุ่น ไฟมีคุณบัติในการทำลายสารพิษในอาหารและเพื่อทำให้สัตว์นักล่าเกรงกลัว ไฟคือสิ่งที่ทำให้เราตั้งถิ่นฐานในสภาพอาการที่เปลี่ยนแปลงจากแถบขั้วโลกเหนืออย่างอาร์คติกไปยังแถบทะเลทรายและทำให้เรามีบ้านที่นั่น ถ้าหากเราจะกินอาหารดิบต่อไป เราคงจะต้องอยู่ตามความอยากรู้อยากเห็นพื้นเมือง เช่น ลิงไม่มีหายเปลือยร่างอยู่ที่ทวีปแอฟริกากลาง คุณและฉันคงจะไม่อยู่ที่เราอยู่กัน ณ ตอนนี้และคนอื่นที่เรารู้จักด้วยคงไม่อยู่ด้วย สิ่งที่เหล่านักกินดิบดูเหมือนจะลืมกันบ่อยๆก็คือมันคงจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับพวกเราที่จะใช้ชีวิตในทวีปเอเซีย ทวีปยุโรปหรือทวีปอเมริกาโดยปราศจาการใช้ไฟ (หรือเหมือนกับทุกวันนี้ ที่มันเป็นรูปแบบพลังงานที่ให้ความอุ่นอีกอย่างหนึ่ง) และมันก็คือความเป็นไปไม่ได้อย่างเท่าเทียกันเพื่อหวังให้ผู้คนใช้ไฟสำหรับความอบอุ่นแต่ไม่ใช้ไฟสำหรับหุงต้มอาหาร

ความเข้าใจแบบผิดๆอีกอย่างหนึ่งของผู้คนที่สนับสนุนให้คนอื่นกินเพียงแค่อาหารดิบเท่านั้นก็คือว่า พวกเราต้องพึ่งพาอาหารที่อาศัยการผลิตอาหารทางอารยธรรมอุตสาหกรรมสำหรับอาหารส่วนใหญ่ของพวกเขา กล่าวคือ อาหารที่ขนส่งมากับเครื่องบิน เรือบรรทุกสินค้า ทางอุตสาหกรรมการเกษตรและจากห้างสรรพสินค้า ทั้งหมดที่กล่าวไปไม่ใช่ความยั่งยืนและจะไม่เคยเป็นอาหารที่ยั่งยืนได้ สิ่งเดียวที่จะยั่งยืนได้ก็คือจงฟังที่ดินของคุณ มันจะบอกคุณว่าอะไรที่กินได้บ้าง

 พวกเราไม่กินแค่อาหารดิบ แต่พวกเรากินผักสดหลากหลายชนิดและผลไม้ทุกวัน เช่นเดียวกับสังคมนักล่าสัตว์และเก็บของป่าทั้งหมด (hunter-gatherer )หรือสังคมกสิกรรมพืชสวน (horticultural societies)ในอดีตและปัจจุบันนี้ การกินอาหารดิบ100 เปอร์เซนต์ สามารถมีประโยชน์ได้ชั่วคราวเพื่อต่อสู้กับโรคภัยต่างๆ (การบำบัดด้วยสัญชาตญาณ) แต่การกินแค่อาหารดิบตลอดเวลามันคือคำถามเชิงปฏิบัติมากกว่า แน่นอนว่า บางคนก็มีสุขภาพแข็งแรงมากและใช้งานได้ในการกินเช่นนี้ (สำหรับตอนนี้) แต่นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนหลักความจริงที่ว่ามนุษย์หุงต้มอาหารมาได้เป็นอย่างดีกว่า 1ล้านปีแล้ว และมนุษย์สายพันธุ์ของเรา โฮโมเซเปียนส์ (homo sapiens) ได้มีวิวัฒนาการมาร่วมกันกับอาหารสุกตามที่เห็นได้จากกรามขากรรไกรและท้องที่เล็กกว่าของพวกเรารวมถึงสมองที่ใหญ่กว่าเล็กน้อย

ถ้าคนที่กินอาหารดิบเป็นเวลาไม่หลายปีและเริ่มที่จะกล่าวอ้างว่านี่คือวิธีการกินวิธีเดียวที่ถูกต้อง พวกเราขอแนะนำว่าให้คุณจงระวังตัวไว้ มีเพียงแค่เรื่องวิวัฒนาการเท่านั้นที่จะแสดงให้เราเห็นได้ว่าการกินอาหารดิบนี้คือทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดีหรือเปล่าหลังจากนั้น (และวงล้อของวิวัฒนาการหมุนช้า) ดังนั้นเราก็จะได้เห็นก่อนว่า ลูกๆและหลานๆของพวกเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง แล้วจงรอต่อไปอีก 500 รุ่น ก่อนที่เราจะมากล่าวอ้าง ได้ว่าการกินอาหารดิบของพวกเขาอยู่เหนือกว่าจริงๆ พวกเขาคงจะเริ่มมองแบบใหม่มากกว่าที่เรามองในวันนี้เป็นแน่

 พวกเราวิจารณ์หนักมากเรื่องการเป็นคนที่เคร่งครัดเกินไป อาหารอะไรก็ตามที่คุณกิน จงจำไว้เสมอว่าอาหารนั้นควรที่จะมีประโยชน์ต่อสุขภาพและทำให้คุณมีความสุข จงอย่าหลงเชื่อลัทธิใดๆที่สัญญากับคุณว่าจะพาคุณเข้าใจรู้แจ้งได้โดยการบังคับใจตัวอง

ท้ายที่สุดที่อยากจะกล่าวไว้สำหรับเรื่องการกินอาหารก็คือ จงฟังที่ดินของคุณและมันจะบอกคุณทุกอย่างที่คุณจำป็นต้องรู้เอง 

No comments.