บทรีวิวหนังสือ Gathering Moss

บทรีวิวหนังสือ Gathering Moss: A Natural and Cultural History of Mosses by Robin Wall Kimmerer
Non-fiction; Nature writing
วันนี้เราจะขอพาทุกท่านที่หลงไหล และชื่นชอบในความงาม และความน่ารักของพืชมอสส์กันอยู่ ให้มาเปิดสัมผัสใหม่กับผลงานที่ได้รับรางวัลงานเขียนธรรมชาติโดดเด่นอย่างน่าประทับใจเล่มนี้กัน!
ออกเก็บเกี่ยวมอสส์: ประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรม และธรรมชาติของมอสส์ เขียนโดย Robin Wall Kimmerer นักวิทยาศาสตร์ ศาสตราจารย์พิเศิษฐ์ของสาขาสิ่งแวดล้อมและชีววิทยาป่าไม้ นักเขียนชาว Potawatomi (หนึ่งในกลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกัน) และเป็นผู้บริหารประจำศูนย์กลางประสานงานสำหรับกลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกัน ณ มหาวิทยาลัย SUNY (State University of New York College of Environmental Science and Forestry) ในเมืองซีราคิวส์ รัฐนิวยอร์ก และยังเป็นเจ้าของผลงานยอดนิยม และโด่งดังทั่วทั้งประเทศสหรัฐฯ กับหนังสือเล่มที่สองของเธอที่ชื่อว่า Braiding Sweetgrass: Indigenous Wisdom, Scientific Knowledge and the Teachings of Plants!
คาดว่าหลายๆ คนคงจะรู้จักรักใคร่กับหญ้ามอสส์กันเป็นอย่างดี เพราะไม่ว่าเราจะไปที่ไหนก็ตามที หญ้ามอสส์ก็มักจักปรากฏตัวของเธอให้เราพบเห็นทุกครั้ง (ถ้าเราเคยสังเกตดูจริงๆ) แล้วคุณเคยมีอาการแบบนี้ไหม ที่พอเห็นหญ้ามอสส์ทีไร ก็ชอบเอามือไปจับดู และลูบไล้ไปทั่วพรมหญ้ามอสส์ที่ปกคลุมอยู่ตามกิ่งไม้ ผิวเปลือกไม้ โขดหิน หรือแม้แต่ตามรั้วกำแพงริมถนน และบนหลังคาบ้านก็ยังมีมอสส์อีกด้วย! คุณเคยโดนสะกดจิตให้ยืนอยู่แน่นิ่งกับความเขียวขจีอันสดใสของหญ้ามอสส์กันบ้างไหมนะ!
Kimmerer (ผู้เขียน) ได้บอกเล่าเรื่องราวของพืชมอสส์ผ่านหนังสือเล่มนี้ไว้อย่างครอบคลุมในหลากหลายมิติ ทั้งทางประวัติศาสตร์การนำหญ้ามอสส์มาใช้ประโยชน์ เช่น ใช้เป็นตัวยาสมานแผลในยามศึกสงคราม และการนำไปใช้เป็นของเก็บห่ออาหารของกลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกันดั้งเดิม และความงดงาม ความใจกว้าง ความสมถะ และมักน้อยของพืชมอสส์ ที่ชอบเอื้อปผลระโยชน์ให้ทุกสิ่งมีชีวิตโดยมิหวังผลตอบแทนใดๆ หากคุณศึกษาเกี่ยวกับมอสส์อยู่แล้วนั้นคงจะทราบกันดีว่า ชื่อวิทยาศาสตร์ของพืชมอสส์แต่ละชนิดคืออะไรบ้าง เราจะไม่ขอยกชื่อวิทยาศาสตร์มาในบทรีวิวฉบับนี้ แต่จะขอยกประเด็นที่น่าทึ่งมากที่สุด สำหรับพืชจิ๋วแต่แจ๋ว อย่างมอสส์ผู้ใจดี! แต่ถ้าอ่านบทรีวิวแล้วทำให้คุณอยากรู้จักกับมอสส์กันมากขึ้น ก็ขอให้อ่านเล่นนี้กันได้เลย ขอบอกว่าเนื้อหาลึกซึ้งอย่างแน่นอน มาเริ่มกันเลย!
Kimmerer เล่าว่า หญ้ามอสส์ที่เขึ้นอยู่ตามโขดหินทั้งเล็กและใหญ่ หรือ Mossy rock นั้น แท้จริงแล้วไม่ได้มีมอสส์เพียงชนิดเดียวเท่านั้น แต่มีอีกเป็น 20 ชนิดที่กระจุกตัวอยู่ร่วมกันบนโขดหินนั่น! และที่สำคัญแต่ละชนิดยังมีบทบาท และงานเฉพาะของตนอีกด้วย ผู้เขียนเองก็สอนวิชา Bryology คือเป็นวิชาที่ศึกษาพืชที่ไม่มีท่อลำเลียงน้ำและท่อลำเลียงอาหาร (bryophytes) นั่นก็คือ มอสส์ (Mosses) ฮอร์นเวิร์ต (Hornworts) ลิเวอร์เซิร์ต (Liverwort) เป็นต้น ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มพืชบก (Embryophyte) ทั้งหมด และวิชานี้ก็จัดเป็นอีกสาขาหนึ่งของวิชาพฤกษ์ศาสตร์ ขณะที่ Kimmerer และนักศึกษาของเธอได้เข้าไปสำรวจสายพันธุ์ของพืชมอสส์ในป่า และแบ่งปันเรื่องราวของมอสส์กับผู้เรียนที่เริ่มจะแยกชนิดมอสส์ออกด้วยตาเปล่าได้ พวกเขาก็พบว่า คำว่า “Moss” ปกติแล้วมักจะอ้างถึงพืชที่ไม่ใช่มอสส์จริงๆ อาทิเช่น Reindeer “moss” คือไลเคน หรือ Spanish “moss” คือพืชดอกกาฝาก และ Sea “moss” คือ สาหร่ายทะเล หรือ Sea algae เป็นต้น

แล้วมอสส์คืออะไร? มอสส์ตัวจริง หรือ Bryophyte นั้นคือพืชบกที่ดั้งเดิมมากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับพืชชั้นสูงกว่า มอสส์มักจะถูกอธิบายลักษณะไว้ตามที่พวกเขาขาด คือจริงๆ แล้ว หญ้ามอสส์ไม่มีท่อลำเลียงน้ำและอาหาร ไม่มีดอก ผล และไม่มีเมล็ด ฉะนั้น มอสส์จึงได้รับการเรียกขานว่า “เป็นพืชที่เรียบง่ายมากที่สุดในโลก” และในความเรียบง่ายของเธอก็ยังเต็มไปด้วยความงดงามในตัวตนอย่างเป็นเอกลักษณ์
หญ้ามอสส์มีส่วนประกอบพื้นฐานอยู่เพียงไม่กี่อย่าง คือมีส่วนที่เป็นลำต้น (stem) และก้านใบ (leaf) และตามหลักฐานทางวิวัฒนาการของพืชมอสส์แล้ว พบว่ามีมอสส์ทั้งหมดกว่า 22,000 ชนิดพันธุ์ทั่วโลก แต่ละชนิดจะเปลี่ยนสภาพไปตามรูปแบบของดิน สามารถอยู่รอดได้ทุกสภาพอากาศ อยู่อาศัยในทุกระบบนิเวศ การเข้าสำรวจและค้นหาอย่างลึกซึ้งของ Kimmerer ได้ช่วยเหลือให้เธอได้รู้จักกับผืนป่าไปด้วย เธอจึงได้มองเห็นพืชมอสส์ในมุมมองอื่นๆ มากยิ่งขึ้น ในยุคที่สิ่งมีชีวิตบนบกได้ถือกำเนิดขึ้นบนโลก หรือที่เรียกกันว่า ยุคดีโวเนียน หรือ Devonian era เมื่อประมาณ 350 ล้านปีที่แล้ว มีพืชบกที่เคยปรากฏอยู่บนน้ำ และอพยพขึ้นมาอยู่บนบก พืชนั้นก็คือ มอสส์นี่เอง!
การเจริญเติบโตของหญ้ามอสส์: มอสส์จะโตก็ต่อเมื่อมีความชุ่มชื้น และอาศัยอยู่ตามพื้นผิวของโขดหินหรือบนก้อนหิน อยู่ตามผิวของเปลือกไม้ อยู่ตามผิวของท่อนไม้ใหญ่ๆ ซึ่งเป็นพื้นที่เล็กๆ ที่มีอากาศผ่าน กล่าวคือพืชมอสส์โตอยู่ในระดับพื้นผิวดิน และจึงสามารถขยายพันธุ์ได้ในระดับชั้นผิวดิน หรือ boundary layer ที่อากาศจะลอยตัวช้ากว่าชั้นอากาศด้านบนที่สูงกว่า อากาศในชั้นเหนือผิวดินนี้จะดักจับความร้อนและไอน้ำที่ระเหยออกจากท่อนไม้บนพื้นขนาดใหญ่ที่มีมอสส์เกิดอยู่ไว้ ซึ่งมันทำให้เกิด Humid zone หรือโซนอากาศร้อนชื้น ที่มอสส์ทั้งหลายเติบโตกันอย่างงอกงาม

ในสวนป่าของเรา!
การสืบพันธุ์ของหญ้ามอสส์: มอสส์มีการสืบพันธุ์ทั้งแบบอาศัยเพศ และไม่อาศัยเพศ มาดูแบบแรกกัน โครงสร้างของอวัยวะสืบพันธุ์มอสส์ตัวเมีย เรียกว่า Archegonium ที่กระจุกตัวกันอยู่อย่างมองเห็นได้ง่าย คือสามารถเปิดดูใต้ใบได้ว่าข้างในกอมอสส์มีอะไรบ้าง ส่วนอวัยวะสืบพันธุ์ของมอสส์ตัวผู้เรียกว่า Antheridia มีลำต้นที่บวมใหญ่ไปด้วยสเปิร์มทั้งหลายที่พร้อมจะปล่อยตัวแล้ว พืชมอสส์ทั้งหมดต่างก็ผ่านพ้นวิวัฒนาการมาอย่างยาวนานจนยังสามารถอยู่รอดได้ในสภาพแห้งแล้ง หรือ Dry land มอสส์สืบพันธุ์ด้วยการผลิตสปอร์ ที่เป็นผงเล็กๆ อยู่บนส่วนยอดสุดของใบ ซึ่งต้องใช้ลมและน้ำเป็นตัวพัดพาสปอร์ออกไปไกลจากที่อยู่เดิม ส่วนใบของมอสส์ที่กระจุกตัวกันอยู่เป็นกลุ่มก้อนจะเป็นตัวดักจับน้ำเพื่อรักษไข่สปอร์เอาไว้ไม่ให้ตายไปหมด และยังเป็นเหมือนสระว่ายน้ำสำหรับเหล่าสเปิร์มได้เข้ามาอีกด้วย ไข่ที่ยังไม่ได้รับการผสมกับสเปิร์มก็จะนั่งนิ่งอย่างสบายใจและรอ มอสส์ตัวผู้จะผลิตอสุจิเป็นจำนวนมาก และแต่ละตัวมีโอกาสที่จะได้ผสมกับไข่ของมอสส์ตัวเมียน้อยมาก เพราะพวกเขาก็ว่ายน้ำอยู่ส่วนบนของน้ำที่พร้อมไหลออกอยู่ตลอดเวลา ถ้าสเปิร์มยังไม่เจอกับไข่ภายในเวลา 1 ชั่วโมงสเปิร์มก็จะตายไป และไข่ตัวเมียของมอสส์ก็รออยู่ต่อไป ถึงอย่างไรก็ตามที มอสส์ก็ยังสามารถขยายพันธุ์ไปเองได้โดยการโคลนตัวเอง กล่าวคือมอสส์สามารถสร้างลำต้นขึ้นมาใหม่เองได้โดยไม่ต้องผสมพันธุ์ คือใช้ส่วนของลำต้นหรือก้านใบที่หลุดหล่นออกจากกลุ่มโดยบังเอิญ และตกถึงพื้นดินที่ชุ่มชื้น ก็จะมีมอสส์ต้นใหม่เกิดขึ้นมา นี่จึงเรียกว่าสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ

มอสส์มีภมูิคุ้มกันต่อการตายจากความร้อน หรือแห้งแล้งอีกด้วย เพราะสำหรับมอสส์แล้ว ความแห้งแล้งถือเป็นเพียงสิ่งรบกวนชั่วคราวในชีวิตของตน “มอสส์อาจจะสูญเสียความชื้นได้มากถึง 98 เปอร์เซ็นต์ และยังคงอยู่รอดต่อไปได้ เพื่อฟื้นชีพกลับมาอีกครั้งเมื่อได้รับน้ำ แม้แต่จะขาดความชื้นเป็นเวลา 40 ปี ตอนที่มีความชุ่มชื้นและน้ำเพียงพอ มอสส์ทั้งหลายก็กลับคืนมาอย่างเต็มที่ ทุกส่วนของมอสส์ถูกออกแบบมาสำหรับเพื่อกักเก็บน้ำ” นับไปตั้งแต่ลักษณะของกอหญ้ามอสส์ไปจนถึงช่องว่างระหว่างใบและก้านใบ ลงต่ำไปจนถึงส่วนที่เป็นใบเล็กจิ๋วมากสุด มอสส์โดยส่วนใหญ่จะไม่เกิดอยู่เดี่ยวๆ แต่จะกระจุกตัวกันอยู่เป็นกลุ่มๆ อย่างแน่นหนา เรียงตัวอยู่ใกล้ชิดกันกับทั้งส่วนใบ และลำต้นที่ผสานทับกันทำให้เกิดเป็นช่องทางน้ำ ส่วนใบและช่องว่างที่เก็บน้ำเอาไว้ก็เป็นเหมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำ ยิ่งถ้าส่วนล่างของลำต้นกระจุกกันอยู่ได้ดีมากเท่าไหร่ มอสส์ก็จะยิ่งเก็บน้ำได้เยอะมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น ก้านใบของมอสส์จะแตกต่างไปจากใบของต้นไม้โดยสิ้นเชิง มอสส์แต่ละใบสร้างขึ้นเพื่อเป็นแอ่งกักเก็บน้ำ
“จากการเก็บพืชมอสส์กลุ่มตัวอย่างมาตรวจในวิชาศึกษามอสส์ของ Kimmerer และผู้เรียน พบว่า มอสส์จำนวน 1 กรัม จากพื้นป่า มีขนาดเท่ากับแผ่นขนมปัง ที่ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของโปรโตซัว (Protozoa) มากถึง 150,000 ตัว ตัวทาร์ดิเกรด (Tardigrades) 132,000 ตัว มีแมลงหางดีด (springtails) มีตัวโรติเฟอร์ (Rotifer กลุ่มสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังขนาดจิ๋ว) 800 ตัว มีหนอนตัวกลม (nematodes) 500 ตัว มีตัวไร (Mites) 400 ตัว มีไข่แมลงวัน (Fly larvae) 200 ใบ จำนวนของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้บ่งบอกเราถึงความอุดมสมบูรณ์ของสิ่งมีชีวิตจากมอสส์เพียงหนึ่งกำมือ”
พืชมอสส์ไม่ได้เป็นเพียงพืชที่อิงอาศัยต้นไม้อื่นเท่านั้น แต่ยังเป็นพืชกาฝากในตัวอีกด้วย ภายในผืนพรมมอสส์มีสาหร่ายอาศัยร่วมอยู่ด้วย แผ่นหญ้ามอสส์จะคอยเป็นตัว กักเก็บเศษดินที่มากับลม และเศษใบที่หล่นจากลำต้น ดักจับแมลงที่ตายแล้ว ดักจับสปอร์ของมอสส์ และลำเลียงไปสะสมไว้ที่ฐานของลำต้น และเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ มันก็จะกลายไปเป็นดินที่ไม่เคยมีมาก่อน เศษเหล่านั้นถูกย่อยสลายโดยร่างแหของเชื้อรา นี่คือการสะสมอินทรียวัตถุที่สร้างพื้นดินให้กับรากพืช เช่นเดียวกับกล้วยไม้ในป่าฝน หรือเฟริ์นที่มาอยู่กับมอสส์ที่โตอยู่ตามโขดหิน
ในป่าพืชมอสส์ หรือ Moss forest คือจุดศูนย์ของวิวัฒนาการ เพราะมอสส์คือพืชชนิดแรกที่เข้าครอบครองพื้นดิน และปกคลุมเส้นทางไว้ให้สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ตามเข้ามาอยู่อาศัย บรรดานักกีฏวิทยา หรือ Entomologists จำนวนมากเชื่อมั่นว่า ช่วงแรกเริ่มของวิวัฒนาการของแมลงเริ่มต้นขึ้นที่ mats of moss หรือบนผืนพรมของมอสส์ ด้วยความชุ่มชื้นที่ปกป้องไว้ด้วยมอสส์ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสิ่งแวดล้อมระหว่างสิ่งมีชีวิตดั้งเดิมทางน้ำ และสิ่งมีชีวิตชั้นสูงกว่าบนบก ปัจจุบันนี้แมลงชั้นสูงหลายชนิดยังคงพึ่งพา ผืนพรมมอสส์เพื่อบำรุงเลี้ยงไข่และตัวอ่อนของตนอยู่
Kimmerer บอกอีกว่า การที่จะเข้าใจโลกของพืชมอสส์ได้ เธอต้องพยามมองในแบบที่ไม่ใช่มนุษย์ ในสังคมดั้งเดิมของชนพื้นเมืองจะมีรูปแบบการเรียนรู้ที่แตกต่างไปจากชาวอเมริกัน กล่าวคือ เด็กๆ จะเรียนรู้ด้วยการมองดู ฟัง และมีประสบการณ์จริงกับเรื่องนั้นๆ พวกเขาจะได้เรียนรู้จากสมาชิกทั้งหมดของชุมชน ทั้งที่เป็นมนุษย์ และที่ไม่ใช่มนุษย์ การถามคำถามส่วนใหญ่มักถูกมองว่าเป็นความหยาบคาย ไม่สุภาพ เด็กๆ จะไม่ได้รับเอาความรู้ไป แต่ความรู้ต่างๆ จะส่งมอบให้กับเด็กๆ “พวกเขาจะได้รับรางวัลเป็นความรู้ก็ต่อเมื่อ เด็กๆ พร้อมที่จะรับรู้เอง” การเรียนรู้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการเฝ้าสังเกตการณ์อย่างใจเย็น
เธอได้ยกตัวอย่างชนิดพันธุ์ของมอสส์ที่เรียกว่า Tetraphis pellucida ซึ่งเป็นมอสส์ที่อาศัยอยู่กับต้นไม้ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยความที่สนใจว่าทำไมมอสส์ชนิดนี้ถึงรูปร่างเช่นนั้น และทำไมถึงอยู่รวมกันกับชนิดอื่นได้ในกระจุกเดียวกัน ในการที่จะเข้าใจเรื่องนี้เธอใช้เวลาเป็นหลายปี ไม่ใช่แค่หลายเดือน และไม่ใช่เพียงแค่นำเอาตัวอย่างจากกอหญ้ามอสส์มาสำรวจ และทำแบบสรุปผล แต่เธอเฝ้านับจำนวนรากของมอสส์ แต่ละกอในช่วงการเติบโตในระยะต่างๆ จนในท้ายที่สุดเธอก็ได้พบว่า City moss หรือ มอสส์ชนิดที่เกิดในสภาพเมืองก็อาศัยอยู่กับพวกเราทุกวันอีกด้วย จริงอยู่ว่าจะพบมอสส์มากกว่าในผืนป่า ภูเขา ตามแหล่งน้ำที่มีโขดหิน และเหล่าต้นไม้ มอสส์เมือง มีหลากหลายชนิดเช่นกัน ที่ปรับตัวได้ ทนต่อสภาพเครียด ต้านทานมลพิษในอากาศ และเติบโตได้ในภาพแออัด ก็มีหญ้ามอสส์เกิดอย่างหนาแน่น มอสส์เมืองยังเดินทางเก่งอีกด้วย!
บางชนิดก็ไม่พบตามในธรรมชาติ แต่กลับมีเยอะตามสภาพแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น Kimmerer เล่าอีกในบางบทตอนว่า มีคนที่มีปัญหากับหญ้ามอสส์ และเธอได้รับสายแจ้งเหตุจากคนในแถบชานเมืองมาว่า สนามหญ้าของพวกเขาที่ดูแลกันเป็นอย่างดีเสียหาย และล้มตายไปบ้าง และคิดว่ามอสส์ฆ่าหญ้าอื่นในสนามหญ้าของตน และจะเอาคืนโดยการทำลายมอสส์ทิ้งไป แต่โดยปกติแล้ว มอสส์ไม่ฆ่า หรือ เบียดเบียนหญ้าชนิดอื่นเลย เพราะมอสส์ไม่สามารถเอาชนะหญ้าอื่นๆ ได้ จะมีมอสส์ในสนามหญ้าได้ก็ต่อเมื่อ มีสภาพที่มอสส์เติบโตได้มากกว่าหญ้าต่างๆ เช่น อาจจะมีร่มเงามากเกินไป ให้น้ำไม่สมดุล หรือ ดินมีค่าความเป็นกรดด่างต่ำ หรือ ดินแข็ง เป็นต้น ค่อยจะส่งผลให้หญ้าอื่นตาย หรือหายไป ไม่ใช่มอสส์ฆ่าหญ้าอื่นแต่อย่างใด
ความอุดมสมบูรณ์ของพืชมอสส์ในเมือง เป็นอีกเรื่องที่ทำให้ฝนตกตามท้องที่นั้นๆ อยู่มาก แต่ชาว Oregonians ในรัฐออริกอน เหมือนจะมีความสัมพันธ์แบบทั้งรักและเกลียดกับพืชมอสส์ของพวกเขา มีโคงการช่วยเหลือจัดการกับมอสส์อีกด้วย แต่มอสส์ก็กลับคืนมาตลอด มีผู้เชี่ยวชาญด้านการทำหลังคาบ้านได้ชี้นำให้เจ้าของบ้านต่างก็เชื่อตามไปว่า พืชมอสส์ส่งผลให้หลังคากระเบื้องเสื่อมคุณภาพ และก็รั่วซึมในที่สุด ด้วยค่าใช้จ่ายในการซ่อมหลังคาบ้านที่แพง พวกเขาก็อยากจะนำเอามอสส์ออกไป ซึ่งพวกเขาได้กล่าวหาว่า มอสส์ขยายรากเข้าไปตามรอยต่อที่แตกรอยเล็กๆ ในแผ่นกระเบื้อง และมอสส์ทำให้กระเบื้องแตกชำรุด อย่างไรก็ตามที ตามที่สอบถามพูดคุยกันเพิ่มเติม และติดต่อไปยังบริษัทผลิตกระเบื้องแล้ว เขาก็แจ้งมาว่าไม่เคยผลิตภัณฑ์ใดเสียหายจากพืชมอสส์เลย ในความเป็นจริงแล้ว พืชมอสส์สามารถป้องกันกระเบื้องได้จากการแตกร้าว หรือพองตัว ที่เป็นผลมาจากโดนแสงแดดเยอะเกินไป มอสส์จะทำให้กระเบื้องเย็นกว่าในฤดูร้อน ในฤดูฝนก็ยังช่วยชะลอน้ำให้ไหลช้าลง ช่วยปิดรู้รั่วซึมได้ และถ้ามีหลังคาที่ปกคลุมด้วยมอสส์ ก็ยังดูสวยงามอีกด้วย!

คุณประโยชน์ของมอสส์: มอสส์ที่ยังมีชีวิตอยู่มีบทบาทที่ทำให้น้ำบริสุทธิ์ มีความสามารถพิเศษในการบำบัดให้น้ำใสสะอาด คือมอสส์สามารถดูดกรองเอาสารพิษออกจากน้ำได้ โรคหืดที่คนในแถบชานเมืองเป็นผลมาจากคุณภาพของอากาศ ความอุดมสมบูรณ์ของมอสส์ตามบริเวณข้างเคียง หรือตามละแวกบ้านของคุณ คือตังบ่งชี้ถึงระดับคุณภาพของกาศ! มอสส์ และไลเคนต่างก็เปาะบางต่อมลพิษในอากาศ ต้นไม้ตามย่านถนนแต่ก่อนเคยมีสีเขียวปกคลุมด้วยมอสส์ แต่ตอนนี้มีแค่ต้นไม้ที่ไร้มอสส์ ลองสำรวจดูตามละแวกที่คุณอยู่ดู คุณก็จะได้ทราบว่าสภาพอากาศที่นั่นเป็นอย่างไร
มอสส์จะเสี่ยงต่ออากาศเป็นพิษมากยิ่งกว่าพืชชั้นสูงชนิดอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (sulfur dioxide) ที่พ่นออกมาจากโรงงานผลิตไฟฟ้า เนื่องจากว่า มอสส์มีก้านใบเป็นเซลล์ชั้นเดียว ในขณะที่ใบหญ้าชนิดอื่น ใบไม้พุ่ม และใบไม้ยืนต้นมีหลายชั้นมากกว่า มอสส์เองก็เริ่มจะเลือนหายไปนับมาตั้งแต่ช่วงอุตสาหกรรมเริ่มขึ้น และลดจำนวนลงอย่างต่อเนื่อง ทุกพื้นที่ที่มีปัญหาทางสภาพอากาศสูง มีมอสส์กว่า 30 ชนิดพันธุ์ที่เคยเติบโตอยู่ในเขตเมือง แต่ตอนนี้ก็ถูกขจัดออกไปแล้วด้วยระดับของมลพิษทางอากาศที่เพิ่มขึ้น
“มอสส์ชนิดพันธุ์ที่อิงอาศัยอยู่ตามต้นไม้ สามารถวัดคุณภาพของอากาศได้ ฉะนั้นถ้าในแถบเมืองอากาศดีขึ้นก็มักจะพบเห็นมอสส์หวนกลับคืนมาอีกครั้งเช่นกัน”
เรื่องราวของมอสส์ยังไม่หมดเท่านี้ เหนื่อยอ่านกันรึยังเอ่ย? ถ้าอยากรู้เพิ่มก็มาต่อกันเลยดีกว่า ใกล้จบแล้วนะ!
เราขอยกอีกบทหนึ่งมาแบ่งปัน นั่นก็คือ The web of reciprocity: Indigenous uses of moss หรือ สายใยแห่งการถ้อยทีถ้อยอาศัย: วิธีการนำมอสส์มาใช้ประโยชน์ของชนพื้นเมือง พวกเขาเชื่อกันว่า สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีบทบาทหน้าที่เฉพาะของตน ทุกสิ่งมีชีวิตมีพรสวรรค์เฉพาะตัว เช่น มีความฉลาดของตัวเอง มีจิตวิญญาณ และเรื่องเล่าของตัวเอง ผู้สร้างสรรค์สรรพสิ่งได้มอบสิ่งเหล่านี้ให้กับพวกเรา ตามหลักคำสอนดั้งเดิมที่กล่าวไว้ว่า พื้นฐานของการศึกษาก็คือ เพื่อออกค้นหาพรสวรรค์นั้น และเรียนรู้ที่จะใช้มันให้ดี มอสส์มีหน้าที่อยู่หลายอย่าง เช่น เป็นเสื้อผ้าให้กับดิน ทำให้น้ำและอากาศบริสุทธิ์ และช่วยให้รังนกนุ่มสบายมากยิ่งขึ้น สายใยแห่งการพึ่งพากันและกัน ตามที่เหล่าผู้อาวุโสของกลุ่มชนพื้นเมืองได้กล่าวไว้ก็คือ ทุกสิ่งอย่างเชื่อมโยงถึงกันไปหมด อย่าง ต้นเมเปิลได้รับของขวัญด้วยน้ำหวานจากต้น และจับคู่ความรับผิดชอบเพื่อแบ่งปันของขวัญนั้นด้วยการเลี้ยงดูผู้คนในช่วงหิวโหยของปี พืชเสจ (Sage) มีหน้าที่ของตนเองด้วย เพื่อลำเลียงน้ำไปยังก้านใบเพื่อให้กระต่ายตัวอื่นๆ ได้กิน เพื่อเป็นร่มเงาให้นกเล็กๆ ทุกส่วนของต้นเสจยังรับผิดชอบต่อผู้คนอีกด้วย ต้นเสจช่วยเหลือให้พวกเรามีจิตแจ่มใสไปจากเรื่องความป่วย ความเครียด และยังช่วยปลุกระดมความคิดแง่บวกของเราขึ้นมาแทน
ถ้าพืชแต่ละชนิดมีหน้าที่เฉพาะของตน และเชื่อมโยงถึงกันกับชีวิตมนุษย์ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพืชเหล่านั้นมีหน้าที่อันใดบ้าง เราจะใช้พืชถูกสรรพคุณได้อย่างไร ตำนานความรู้ทางนิเวศวิทยาดั้งเดิม คือคู่แฝดที่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นจนนับไม่ถ้วน จากรุ่นคุณยายสู่รุ่นลูกหลาน ด้วยการมาชุมนุมกันในทุ่งหญ้า แต่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาจากไหนตั้งแต่แรก พวกเรารู้ได้อย่างไรว่าต้องใช้พืชชนิดใดตอนที่มีการคลอดลูก พืชชนิดใดช่วยดับกลิ่นตัวของนักล่า ความรู้ดั้งเดิม หรือ Traditional Knowledge (TK) เกิดขึ้นมาจากการเฝ้าสังเกตการณ์ทางธรรมชาติ จากผลลัพธ์ของการจากไปของหลายชีวิตในการทดลอง ความรู้ดั้งเดิมฝังรากอยู่ในสภาพภูมิทัศน์ท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง ที่ซึ่งผืนแผ่นดินเป็นผู้สอน ความรู้เรื่องพืชได้มาจากการจ้องมองดูว่าสัตว์ต่างๆ กินอะไร และความรู้ก็มาจากต้นพืชเองด้วย สำหรับคนที่ใส่ใจเป็นอย่างดีเวลาสังเกตดูต้นพืช พืชก็มักจะเปิดเผยของขวัญส่วนตัวให้เราได้พบเห็น
การสร้างชีวิตในเมือง ประสบความสำเร็จได้เพียงในเรื่องการแบ่งแยกตัวเราไปจากเหล่าพืชพรรณที่หล่อเลี้ยงพวกเรามา หลายๆ คนได้สูญเสียความสามารถในการรับรู้สรรพคุณของพืชท้องถิ่นไปแล้ว และต้องไปอ่านวิธีการใช้แทน หลายๆ คนก็คงไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อเรียกของพืชพรรณกันไปแล้ว “พบค่าเฉลี่ยของคนที่รู้จักพืชนั้นปรากฏว่า คนหนึ่งจะรู้จักพืชน้อยกว่า 12 ชนิด นี่คือการก้าวไปสู่การสูญเสียความเคารพ การรู้จักชื่อของพืชพรรณ คือการก้าวเข้าสู่การเชื่อมโยงถึงกันของพวกเรา”
ในการหยั่งรู้ดั้งเดิมของชนพื้นเมืองเมริกัน มีวิธีการที่เราจะสามารถเรียนรู้ถึงความสามารถพิเศษของพืชต่างๆ ได้นั้น ก็คือ จะต้องว่องไวเท่าทัน “การมา และการจากไปของพืชนั้นๆ” รวมถึงมุมมองทางโลกของชนพื้นเมืองที่เข้าใจพืชพรรณแต่ละชนิดได้จากตามแหล่งที่พืชนั้นๆ มักเกิดอยู่ การเข้าใจได้ว่า พืชพรรณมาถึงตอนไหน และเกิดอยู่ตรงไหน ตามที่พวกเขาต้องการเติบโตไป พอพืชต่างๆ พบที่อยู่อาศัย พวกเขาก็จะเติมเต็มหน้าที่ของตน Kimmerer ได้พยายามสอบถามกับนักสมุนไพรพื้นบ้าน และเหล่าผู้อาวุโสเกี่ยวกับการนำมอสส์มาใช้ประโยชน์ แต่พวกเขาเองก็ไม่แน่ใจว่า ใช้อย่างไรและใช้กับอะไร แต่พวกเขาไม่ได้ใช้หญ้ามอสส์เป็นยาสมุนไพรหรือกินเป็นอาหาร โดยปกติแล้วผืนพรมของมอสส์ใช้ป้องกันความหนาวเย็น!
ตามความเข้าใจของชาว Onondaga เชื่อกันว่า “พืชสมุนไพรมักเกิดอยู่ใกล้กับแหล่งที่มีความเจ็บป่วย” ความเชื่อ หรือ หลักการอีกอย่างหนึ่งของความรู้เรื่องพืชพรรณของชนพื้นเมืองก็คือ “เราสามารถเรียนรู้วิธีใช้พืชนั้นๆ ได้จากจุดที่พวกเขาเกิดอยู่” ตามที่รู้จักกันเป็นอย่างดีว่า พืชสมุนไพรมักปรากฏตัวอยู่ตลอดเวลาในบริเวณใกล้เคียงกับโรคภัย
และในท้ายที่สุด Kimmerer ก็ได้พบกับการนำพืชมอสส์ไปใช้สอยด้านอื่นๆ เธอพบว่ามีการนำหญ้ามอสส์ไปใช้กับหลายอย่างด้วยกัน เช่น ใช้มอสส์ทั้งแผ่นเป็นผ้าอ้อมเด็ก และใช้แผ่นแห้งเป็นผ้าอนามัย พบหลักฐานตามที่นักมานุษยวิทยาในศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นผู้ที่เข้ามาสำรวจและบันทึกข้อมูลเอาไว้ นี่คือหน้าที่บางส่วนของมอสส์ที่แสดงถึงของขวัญส่วนตัวให้พวกเราได้รับรู้ มีการใช้หญ้ามอสส์เป็นเครื่องใช้ของผู้หญิง ลูกเด็กเล็กๆ ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยมอสส์ที่นุ่มสบาย และมอสส์แห้ง ชนิดที่ชื่อว่า “Sphagnum moss” สามารถดูดซับน้ำได้มากถึง 20-40 เท่า จึงใช้เป็นเหมือนผ้าอ้อมแพมเพิสให้กับเด็กๆ ได้เลย นี่คือของใช้ ที่พอใช้เสร็จแล้วก็ทิ้งได้เป็นครั้งแรกอีกด้วย! หญ้ามอสส์ได้แสดงถึงคุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่ของตน มอสส์แห้งชนิดนี้จะมีรูช่องว่างมากมายในแผ่น จึงดูดซับน้ำปัสสาวะออกจากผิวเด็กได้เป็นอย่างดี รวมถึงมีสรรพคุณเป็นยาป้องกันการติดเชื้ออ่อนๆ อีกด้วย ซึ่งช่วยไม่ให้เป็นผื่นคันตามผิวหนัง “ชีวิตของผู้หญิงก็มีส่วนเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับหญ้ามอสส์ในช่วงมีประจำเดือน ในวัฒนธรรมดั้งเดิมมีการใช้มอสส์แห้ง เป็นผ้าอนามัยกันอย่างแพร่หลาย”
“ผู้หญิงชาว Iroquois บอกว่า มีสิ่งต้อมห้ามที่ผู้หญิงห้ามทำในช่วงที่มีประจำเดือน เพราะผู้หญิงจะมีอิทธิฤทธิ์ทางจิตวิญญาณสูงในช่วงนี้” ถึงแม้จะมอสส์จะไม่ถูกนำไปประกอบอาหารโดยตรง แต่มอสส์ก็มีบทบาทสำคัญต่อการจัดเตรียมอาหารระหว่างชนเผ่าพื้นเมืองของฝั่ง Pecific Northwest ในช่วงจับปลาแซลมอน พวกเขาจะถนอมอาหารเก็บไว้ได้นานๆ และก่อนจะนำปลาแซลมอนไปตากแดด จะต้องล้างเอาน้ำเมือกที่ติดเต็มตัวปลาออกก่อน “หญ้ามอสส์ถูกนำมาใช้ทำความสะอาดตัวปลาในขั้นตอนนี้” อีกบทบาทหนึ่งของพืชมอสส์ก็คือ มีชนเผ่าที่ใช้มอสส์เป็นหีบห่ออาหาร พวกเขาใช้ทั้งมอสส์ และเฟริ์นห่อเก็บอาหารเอาไว้
คงไม่มีระบบนิเวศใดในโลกที่พืชมอสส์จะประสบความสำเร็จได้มากไปกว่ามอสส์สายพันธุ์ “Sphagnum bog” มีคาร์บอนอยู่ในต้นของ “Sphagnum moss” มากกว่ามอสส์สายพันธุ์อื่นในโลก มอสส์ที่อยู่ตามผืนป่าจะปกคลุมด้วยร่มไม้ และกิ่งก้านใบของพืชอื่นๆ มากเกินไป มอสส์เหล่านี้จึงมีบทบาทน้อยกว่า แต่พืชมอสส์ที่เกิดอยู่ตามหนองบึง จะมีความเหนือชั้นมากกว่า Sphagnum หรือ Peat Mosses ไม่เพียงจะเติบโตดีในหนองบึงเท่านั้น แต่มอสส์ชนิดนี้สร้างแอ่งหนองน้ำขึ้นมาอีกด้วย Kimmerer กล่าวอีกด้วยว่า เธอไม่รู้จักพืชชนิดไหน ที่จะมีความชำนาญทางวิศวกรรมได้เทียบเท่ากับมอสส์สายพันธุ์นี้ จากการที่พวกเขาสามารถสร้างต้นใหม่ขึ้นมาเอง พื้นดินตามแหล่งหนองน้ำต่างก็ปกคลุมด้วยมอสส์ชนิดนี้ แต่ที่จริงแล้วมันกลับไม่ใช่พื้นดินเลย มันมีแค่น้ำ ที่ช่วยออกแบบโดยมอสส์ชนิดนี้ พอเธอเดินลงไปในหนองน้ำนั่น เธอพบว่ามีเพียงผืนพรมของมอสส์ที่ปกคลุมผิวน้ำในหนองบึงนั้น เธอมองเห็นที่ว่ายน้ำได้เพียงตรงกลางหนองน้ำนี้ มอสส์ชนิดนี้ทำให้น้ำเปรี้ยวจึงเติบโตได้ดีกว่าพืชอื่นๆ และยังทำให้พืชอื่นอาศัยอยู่ไม่ได้อีกด้วย!
การปล่อยกรดออกจากต้นส่งผลให้มอสส์ชนิดนี้ดูดซับสารอาหารจำเป็นที่มอสส์ต้องการใช้ น้ำตามบริเวณขอบริมหนองบึงอาจจะมีค่า ph อยู่ที่ประมาณ 4.3 ซึ่งเท่ากับน้ำส้มสายชูจางๆ “ความเป็นกรดของน้ำยังส่งผลให้มอสส์ชนิดนี้มีสรรพคุณยับยั้งเชื้อแบคทีเรียอีกด้วย” แบคทีเรียส่วนใหญ่จะอยู่อาศัยได้ในน้ำที่มีค่า ph ต่ำๆ มีการนำมอสส์ชนิดนี้มาใช้เป็นผ้าพันแผลในยุคสงครามโลกที่ 1 ตอนที่ผ้าฝ้ายมีอยู่จำกัดในสงครามอียิปต์ พบการใช้มอสส์ชนิดนี้กันอย่างแพร่หลายในโรงพยาบาลทหาร
ยังพบว่ามีการใช้มอสส์ในเชิงพาณิชย์อีกด้วย นั่นก็คือใช้มอสส์เป็นตัวปรับปรุงดิน สำหรับการทำสวน เศษอินทรียวัตถุของมอสส์จะช่วยทำให้ดินเหนียวๆ แตกออกจากกัน และช่วยทำให้ดินร่วนชุ่ยยิ่งขึ้นแทน มีคนนำเอามอสส์ไปฝังไว้ในดินอีกด้วยเพื่อเป็นตัวช่วยอุ้มน้ำในดินสวน โดยการดูดซับเองตามธรรมชาติของเซลล์ที่ตายแล้ว นอกจากนี้ยังใช้มอสส์เป็นฟองน้ำในดินเพื่อช่วยดูดซับสารอาหาร ส่งเสริมการปลดปล่อยสารอาหารให้ต้นพืชอื่นได้เรื่อยๆ
ตามโขดหินหรือก้อนหินเปล่าๆ มอสส์จะอยู่ไม่ได้ ผิวของหินจะโดนชะล้างด้วยลมและน้ำก่อน และกัดกร่อนด้วยกรดที่ราไลเคนผลิตไว้ตอนที่หมดอายุไป จากนั้นสปอร์ของพืชมอสส์ก็จะสร้างเส้นใยสีเขียนขึ้นมาอย่างประณีต ที่เรียกว่า Protonema ซึ่งจับตรึงอยู่อย่างแน่นหนากับโขดหิน ถ้าเส้นใยเหล่านี้อยู่รอด สปอร์มอสส์เล็กๆ จะเกิดขึ้นมา และแตกหน่อไปเป็นก้านใบ
มอสส์มีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับแหล่งที่อยู่อาศัยของตน ซึ่งมนุษย์ยุคร่วมสมัยน้อยคนจะเข้าใจได้ เพราะมอสส์จะเกิดในพื้นที่หนึ่ง เพื่อเจริญเติบโตอยู่ที่นั่น ชีวิตของพืชมอสส์ได้รับการค้ำจุนโดยอิทธิพลของไลเคนที่เคยอยู่มาก่อน และมอสส์ชนิดอื่นๆ ที่เคยอยู่มาก่อน ซึ่งเป็นผู้ที่ทำให้หินกลายเป็นที่อยู่อาศัยของสปอร์มอสส์ที่เลือกไว้แล้ว และอยู่ที่นั่นต่อไป
พื้นดินทุกพื้นที่ในป่าฝนเขตอบอุ่น หรือ Temperate rain forest มักปกคลุมไปด้วยมอสส์ ที่อยู่ตามโขดหิน ตามท่อนไม้ใหญ่ๆ ตามต้นไม้ใหญ่ และตามตอไม้ พื้นป่าทั้งหมดเป็นสีเขียวปะปนกันอยู่ตามหญ้าและมอสส์ป่า ความงดงามของมอสส์ในผืนป่ามีมากกว่าที่เราจะมองเห็นได้ มอสส์คือส่วนสมบูรณ์ทั้งหมดต่อการทำงานของผืนป่า “พวกเขาไม่ใช่แค่เติบโตอยู่ในป่าเท่านั้น แต่มอสส์ทำหน้าที่สำคัญในการสร้างผืนป่า” เมื่อฝนตกลงมาโดนกับชั้นเรือนยอดของป่าไม้ ก็จะมีเส้นทางให้น้ำฝนไหลลงมาสู่พื้นดินหลายช่องทาง ฝนที่ตกลงมาอย่างเร่งรีบนั้น น้อยมากที่น้ำฝนจะตกถึงพื้นดินของป่า เพราะหยาดน้ำฝนจะถูกแยกโดยใบไม้ และไหลต่อออกไปตามกิ่งไม้ ง่ามไม้ และไหลลงต่อไปตามลำต้นไม้เรื่อยๆ ซึ่งทำให้เกิดเป็นสายน้ำเล็กๆ ที่ไหลมาบรรจบกัน นักป่าไม้เรียกกระบวนการที่น้ำฝนทุกหยดที่ไหลลงสู่ลำต้นของต้นไม้ว่า “stemflow” หรือ “Throughfall” คือน้ำไหลจากก้านใบ ไปสู่ง่ามกิ่งไม้ และไหลรวมกันที่ลำต้น และบรรจบกันที่โคนต้น

ช่วยสะสมสารอาหารที่ไหลมาจากลำต้นไว้อีกด้วย
Kimmerer ได้ยืนเฝ้ามองกระบวนการนี้อย่างน่าพิศวง เธอเห็นน้ำหยดแรกจมดิ่มลงในเปลือกไม้ เหมือนฝนที่ตกลงบนดินที่กระหายน้ำ ชั้นผิวของเปลือกไม้เป็นตัวดูดซับเอาความเปียกชื้นไว้ จากกระบวนการที่น้ำฝนชะล้างต้นไม้และนำพาเอาสารอาหารที่เกาะอยู่ตามกิ่งก้านของต้นไม้ลงไปยังรากไม้นี้ คือการหมุนเวียนสารอาหารจากเปลือกนอกของไม้ไปให้ดิน เพื่อเก็บสารอาหารที่จำเป็นไว้ในต้นไม้ และป้องกันไม่ให้สารอาหารสูญเสียไปจากพื้นป่า “ผืนดินต่างก็มอบคำขอบคุณให้กับมอสส์”
ตามที่น้ำไหลผ่านกอมอสส์ นอกจากมอสส์จะช่วยชะลอน้ำให้ไหลช้าลงไปตามลำต้นแล้ว มอสส์จะดูดซับน้ำส่วนใหญ่เข้าไว้ในกอมอสส์ทุกส่วน “พบการวัดค่าประมาณการดูดซับน้ำของมอสส์ในผืนป่าที่ Costa Rica ว่ามอสส์ดูดซับน้ำได้ถึง 50, 000 ลิตร ต่อพื้นที่ป่าหนึ่งเฮกตาร์จากฝนที่ตกเพียงครั้งเดียว” หรือแม้ฝนจะไม่ตก มอสส์ที่อยู่ตามชั้นเรือนยอดของป่า ก็ยังเก็บสะสมน้ำและความชื้นไว้ และปล่อยทิ้งลงสู่พื้นดินของป่าอย่างช้าๆ เพื่อช่วยรักษาความชื้นของดิน เพื่อให้เหล่าต้นไม้ได้เติบโต ซึ่งมอสส์ก็จะได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยไปในตัว ถ้าหากไม่มีมอสส์ป่าไว้ดูดซับน้ำและเก็บรักษาความชุ่มชื้อนของผืนป่า น้ำคงจะไหลเป็นสีน้ำตาลปะปนกันไปกับเศษดิน และกองทับถมกันอยู่ตามธารน้ำที่มีปลาแซลมอน เหมือนที่มันชะล้างผืนดินไปยังทะเล “แม่น้ำต่างก็มอบคำขอบคุณให้กับมอสส์”
วงจรย้อนกลับเชิงบวก หรือ positive feedback loop จึงเกิดขึ้นระหว่างพืชมอสส์ และความชุ่มชื้น กล่าวคือ ยิ่งมีมอสส์เยอะมากเท่าไหร่ ผืนป่าก็จะยิ่งมีความชุ่มชื้นมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งผืนป่ามีความชื้นมากขึ้นกว่าเดิม ก็จะยิ่งมีมอสส์เกิดมากขึ้นตามมา หากไม่มีสภาพอากาศเช่นนี้ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กก็จะตายหรือหายตัวเร็วเกินไป ดังนั้น หากผืนป่าไม่มีมอสส์ ก็จะมีแมลงน้อยกว่า และกระทบกระเทือนไปยังห่วงโซ่อาหารอื่นๆ ตามลำดับ เฟริ์นชนิดต่างๆ ที่เติบโตอยู่ตามกิ่งไม้ หรือ ตามลำต้นของต้นไม้ก็ตามที ต่างก็ไม่เคยแผ่รากออกไปตามเปลือกไม้เปล่าๆ แต่จะแผ่รากออกไปตามผืนพรมมอสส์เสมอ “เฟริ์นต่างก็มอบคำขอบคุณให้กับมอสส์”
พืชมอสส์หล่อเลี้ยงสิ่งมีชีวิตอื่น ทั้งตอนที่มีชีวิตอยู่และตอนที่แห้งตายไปแล้ว ตัวทาก หรือ slugs ต่างก็ชอบกินมอสส์ และก็ช่วยแพร่กระจายสปอร์มอสส์ไปอยู่ที่อื่นๆ อีกด้วย ส่วนร่างแหของเชื้อรา หรือ fungal mycelium ก็รับผิดชอบในเรื่องของการย่อยสลายสารอาหาร ความอยู่รอดของพวกเขาขึ้นอยู่กับความชุ่มชื้นที่สม่ำเสมอในท่อนไม้ใหญ่ๆ เป็นอย่างมาก ผืนพรมมอสส์จึงเป็นเหมือนเสื้อผ้าห่อหุ้ม และปกคลุมท่อนไม้ไว้จากความตาย ซึ่งมอสส์ช่วยเตรียมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมให้กับเหล่าเชื้อราได้เจริญเติบโต มอสส์สร้างความสัมพันธ์แบบอิงอาศัยกันกับเชื้อเห็ดรา Mycorrhizal fungi อีกด้วย โดยมีต้นไม้เป็นเจ้าบ้าน และหล่อเลี้ยงเห็ดราด้วยน้ำตาลที่ต้นไม้ได้รับจากการสังเคราะห์แสง และเชื้อเห็ดรา ก็ตอบแทนน้ำใจต้นไม้ด้วยการขยายร่างแหของตนให้กระจายตัวออกไปไกลๆ เพื่อนำเอาสารอาหารต่างๆ ในดินกลับคืนมาให้ต้นไม้ จากผลการค้นพบล่าสุด พบว่า มีร่างแห Mycorrhizal อยู่อย่างหนาแน่นในอัตราที่สูงมาก ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ชั้นพรมของมอสส์ ซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหารและความชุ่มชื้น การมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันเช่นนี้ยังเข้าใจได้ยาก แต่ก็มีกลุ่มนักวิจัยได้ไขปริศนาที่ยากต่อการเข้าใจไว้ว่า เชื้อเห็ดราออกตามหาแหล่งธาตุอาหารที่มีฟอสฟอรัสไปทั่วป่า และตอนที่ฝนตก และน้ำไหลผ่านกระบวนการ Throughfall ที่ชะล้างฟอสฟอรัสจากต้นสนสปรูซลงไปยังผืนพรมมอสส์ด้านล่าง ซึ่งเป็นที่สะสมฟอสฟอรัสไว้ จนกระทั่งเห็ดราขยายร่างแหเข้ามายังพรมมอสส์ โดยใช้ร่างแหดูดซับธาตุฟอสฟอรัสจากเนื้อเยื่อมอสส์ที่ตายแล้ว ร่างแหของเห็ดราเดียวกันนี้ก็สร้างความสัมพันธ์กับรากของต้นสนสปรูซอีกด้วย โดยเป็นสะพานเชื่อนโยงกันระหว่างมอสส์ และต้นไม้ สายใยแห่งการอยู่อย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยนี้ทำให้มั่นใจได้ว่า ธาตุฟอสฟอรัสจะหมุนเวียนอยู่ต่อไปไม่จบสิ้น “เชื้อเห็ดราต่างก็มอบคำขอบคุณให้กับมอสส์”
วิธีการอยู่แบบพึ่งพาอาศัยกัน ที่มอสส์ได้สานสัมพันธ์เข้าไว้ด้วยกันเช่นนี้ แสดงให้พวกเราเห็นว่า ชุมชนแห่งผืนป่าดำรงอยู่กันอย่างไรบ้าง พืชมอสส์รับเอาเพียงน้อยนิดตามที่เขาต้องการ และมอสส์ให้ของกลับคืนอย่างอุดมสมบูรณ์ มอสส์ดำรงอยู่เพื่อค้ำจุนชีวิตในแม่น้ำ ก้อนเมฆ ต้นไม้ นก สาหร่าย เหล่าสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ อย่างซาลาแมนเดอร์ ในขณะที่พวกเราต่างก็ทำให้มอสส์ทั้งหลายเสี่ยงต่อการหายตัวไป
เรื่องราวของมอสส์ ผู้ที่มีบทบาทสำคัญมากยิ่งต่อระบบนิเวศในผืนป่า ส่วนที่เรายกมาทั้งหมดนี้ หวังว่าจะมีประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านมากพอสมควร เนื้อหาสำคัญในหนังสือยังมีอีกหลายประเด็นเกี่ยวกับนิเวศวิทยาของมอสส์ บทบาทของมอสส์แต่ละชนิด วิธีปลูกมอสส์ และอื่นๆ โปรดตามต่อกันเองจากหนังสือทั้งเล่ม แต่เราขอปิดท้ายบทรีวิวของหนังสือเล่มนี้ด้วยคำกล่าวด้านล่างนี้
“ครั้งหนึ่งมีผู้อาวุโสได้อธิบายไว้กับ Kimmerer ว่า พืชต่างๆ จะเข้ามาหาพวกเรา ตอนที่เราต้องการพวกเขา ถ้าเราแสดงความเคารพโดยการนำพืชเหล่านั้นมาใช้ ด้วยความสำนึกในคุณค่าของพืชนั้นๆ พวกเขาจะเติบโตแข็งแรงมากยิ่งกว่า พืชนั้นจะอยู่กับพวกเราอีกตราบนานเท่านาน ตามที่พวกเขาได้รับการเคารพจากเรา แต่ถ้าเราหลงลืมพืชเหล่าไป พวกเขาก็จะหายตัวจากไปเช่นกัน”
ครั้งหน้าที่คุณพบเห็นกับมอสส์ อย่าลืม แวะทักทาย กล่าวคำขอบคุณ วางมือสัมผัส และจ้องมองดูความน่าทึ่งของพวกเขากันได้เลย แล้วพบกันใหม่ในบทรีวิวหนังสือเล่มหน้า! ขอบคุณมากยิ่งที่ติดตามบทรีวีวหนังสือของเรา
คุณชอบบทความชิ้นนี้ไหม? ถ้าบทความแนว “มุ่งอธิบายแนวคิดเป็นองค์รวม” มีประโยชน์ต่อคุณอยู่บ้าง สามารถร่วมสนับสนุนผลงานของเราได้ ผ่านการส่งปัจจัยบริจาค (ตามคุณค่าที่คุณได้รับโดยไม่จำกัด) งานเขียนแนวนี้เกิดขึ้นมาจากความตั้งใจที่เรามุ่งสร้างความเข้าใจใหม่ที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นให้กับผู้คนในสังคม ด้วยการสละเวลาส่วนตนของเราเองเพื่อเป็นกระบอกเสียงในแบบที่แตกต่างไปจากมุมมองเดิมในอดีต ติดต่อส่งความคิดเห็น หรือ อยากวิเคราะห์วิจารณ์งานเขียนได้โดยตรงที่อีเมล์ amoolnam@gmail.com หรือต้องการส่งปัจจัยบริจาคให้กับโครงการอิสระของเรา โครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์ธรรมชาติ สวนฟื้นฟูวิถียั่งยืน ได้โดยสแกนคิวอาร์โคดด้านล่างนี้ โครงงานของเรายังอยู่ในระยะเริ่มต้น ซึ่งไม่มีรายได้เป็นประจำ เราขอขอบคุณทุกท่านมากยิ่งที่สนับสนุนผลงานของเรา ทุกการบริจาคถือเป็นแรงผลักดันให้เราได้ศึกษาค้นคว้างานวิจัย เขียนบทความ แปลงาน และแบ่งปันความรู้ในแบบองค์รวมให้กับผู้คนในสังคมสืบต่อไป!
