บทรีวิวหนังสือ​ Gathering Moss

บทรีวิวหนังสือ​ Gathering Moss

บทรีวิวหนังสือ​ Gathering Moss

มอสส์บนโขดหินจากภูเขาสอยดาวใต้

บทรีวิวหนังสือ Gathering Moss: A Natural and Cultural History of Mosses by Robin Wall Kimmerer

Non-fiction; Nature writing

วันนี้เราจะขอพาทุกท่านที่หลงไหล​ และชื่นชอบในความงาม​ และความน่ารักของพืชมอสส์​กันอยู่ ให้มาเปิดสัมผัสใหม่กับผลงานที่ได้รับรางวัลงานเขียนธรรมชาติ​โดดเด่นอย่างน่าประทับใจ​เล่มนี้กัน! 

ออกเก็บเกี่ยวมอสส์​: ประวัติศาสตร์​ทางวัฒนธรรม และธรรมชาติของมอสส์​ เขียนโดย​ Robin Wall Kimmerer นักวิทยาศาสตร์​ ศาสตราจารย์พิเศิษฐ์ของสาขาสิ่งแวดล้อมและชีววิทยาป่าไม้ นักเขียน​ชาว​ Potawatomi (หนึ่งในกลุ่มชนพื้นเมือง​อเมริกัน) และเป็นผู้บริหารประจำศูนย์​กลางประสานงานสำหรับกลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกัน​ ณ​ มหาวิทยาลัย​ SUNY (State University of New York College of Environmental Science and Forestry) ในเมือง​ซีราคิวส์ รัฐนิวยอร์ก​​ และยังเป็นเจ้าของผลงานยอดนิยม​ และโด่งดังทั่วทั้งประเทศสหรัฐฯ กับหนังสือเล่มที่สอง​ของเธอที่ชื่อว่า​ Braiding Sweetgrass: Indigenous Wisdom, Scientific Knowledge and the Teachings of Plants!

คาดว่าหลายๆ​ คนคงจะรู้จักรักใคร่กับหญ้ามอสส์​กันเป็นอย่างดี​ เพราะไม่ว่าเราจะไปที่ไหนก็ตาม​ที หญ้ามอสส์​ก็มักจักปรากฏตัวของเธอให้เราพบเห็นทุกครั้ง​ (ถ้าเราเคยสังเกต​ดูจริงๆ)​ แล้วคุณเคยมีอาการแบบนี้ไหม​ ที่พอเห็นหญ้ามอสส์​ทีไร​ ก็ชอบเอามือไปจับดู​ และลูบไล้​ไปทั่วพรมหญ้ามอสส์​ที่ปกคลุม​อยู่ตาม​กิ่งไม้​ ผิวเปลือกไม้​ โขดหิน​ หรือแม้แต่ตามรั้วกำแพงริมถนน​ และบนหลังคาบ้านก็ยังมีมอสส์​อีกด้วย! คุณเคยโดนสะกดจิตให้ยืนอยู่แน่นิ่งกับความเขียวขจี​อันสดใสของหญ้ามอสส์​กันบ้างไหมนะ!​

Kimmerer (ผู้เขียน) ได้บอกเล่าเรื่องราวของพืชมอสส์​ผ่านหนังสือเล่มนี้ไว้อย่างครอบคลุม​ในหลากหลายมิติ​ ทั้งทางประวัติศาสตร์​การนำหญ้ามอสส์​มาใช้ประโยชน์ เช่น ใช้เป็นตัวยาสมานแผลในยามศึกสงคราม​ และการนำไปใช้เป็นของเก็บห่ออาหาร​ของกลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกันดั้งเดิม และความงดงาม​ ความใจกว้าง​ ความสมถะ และมักน้อย​ของพืชมอสส์​ ที่ชอบเอื้อปผลระโยชน์​ให้ทุกสิ่งมีชีวิตโดยมิหวังผลตอบแทนใดๆ​ หากคุณศึกษาเกี่ยวกับมอสส์อยู่แล้วนั้นคงจะทราบกันดีว่า ชื่อวิทยาศาสตร์ของพืชมอสส์แต่ละชนิดคืออะไรบ้าง เราจะไม่ขอยกชื่อวิทยาศาสตร์มาในบทรีวิวฉบับนี้ แต่จะขอยกประเด็นที่น่าทึ่งมากที่สุด สำหรับพืชจิ๋วแต่แจ๋ว อย่างมอสส์ผู้ใจดี! แต่ถ้าอ่านบทรีวิวแล้วทำให้คุณอยากรู้จักกับมอสส์กันมากขึ้น ก็ขอให้อ่านเล่นนี้กันได้เลย ขอบอกว่าเนื้อหาลึกซึ้งอย่างแน่นอน มาเริ่มกันเลย!

Kimmerer​ เล่าว่า หญ้ามอสส์​ที่เขึ้นอยู่ตามโขดหินทั้งเล็กและใหญ่​ หรือ​ Mossy rock นั้น​ แท้จริงแล้วไม่ได้มีมอสส์​เพียงชนิดเดียวเท่านั้น​ แต่มีอีกเป็น​ 20​ ชนิดที่กระจุกตัวอยู่ร่วมกันบนโขดหินนั่น! และที่สำคัญแต่ละชนิดยังมีบทบาท​ และงานเฉพาะของตนอีกด้วย​ ผู้เขียนเองก็สอนวิชา​ Bryology คือเป็นวิชาที่ศึกษาพืชที่ไม่มีท่อลำเลียงน้ำและท่อลำเลียง​อาหาร​ (bryophytes​)​ นั่นก็คือ​ มอสส์ ​(Mosses)​ ฮอร์นเวิร์ต (Hornworts)​ ลิเวอร์เซิร์ต​ ​(Liverwort)​ เป็นต้น​ ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มพืชบก (Embryophyte) ทั้งหมด และวิชานี้ก็จัดเป็นอีกสาขาหนึ่งของวิชาพฤกษ์ศาสตร์​ ขณะที่​  Kimmerer​ และนักศึกษา​ของเธอได้เข้าไปสำรวจสายพันธุ์​ของพืชมอสส์​ในป่า และแบ่งปันเรื่องราวของมอสส์​กับผู้เรียนที่เริ่มจะแยกชนิดมอสส์​ออกด้วยตาเปล่า​ได้​ พวกเขาก็พบว่า​ คำว่า​ “Moss” ปกติแล้วมักจะอ้างถึงพืชที่ไม่ใช่มอสส์​จริงๆ​ อาทิเช่น​ Reindeer “moss” คือไลเคน​ ​หรือ​ Spanish “moss”  คือพืชดอก​กาฝาก และ​ Sea “moss” คือ​ สาหร่ายทะเล​ หรือ​ Sea algae เป็นต้น

มอสส์ที่กระจุกตัวกันอยู่บนโขดหินมีมากถึง 20 ชนิด!

แล้วมอสส์​คืออะไร? มอสส์​ตัวจริง​ หรือ​​ Bryophyte นั้นคือพืชบกที่ดั้งเดิมมากที่สุด​ เมื่อเปรียบเทียบกับพืชชั้นสูงกว่า​ มอสส์​มักจะถูกอธิบายลักษณะไว้ตามที่พวกเขาขาด ​คือจริงๆ​ แล้ว​ หญ้ามอสส์ไม่มีท่อลำเลียงน้ำและอาหาร​ ไม่มีดอก​ ผล​ และไม่มีเมล็ด​ ฉะนั้น​ มอสส์​จึงได้รับการเรียกขานว่า​ “เป็นพืชที่เรียบง่ายมากที่สุดในโลก” และในความเรียบง่ายของเธอก็ยังเต็มไปด้วยความงดงามในตัวตนอย่างเป็นเอกลักษณ์​

หญ้ามอสส์​มีส่วนประกอบพื้นฐานอยู่เพียงไม่กี่อย่าง​ คือมี​ส่วนที่เป็นลำต้น​ (stem)​ และก้านใบ​ (leaf) และตามหลักฐานทางวิวัฒนาการ​ของพืชมอสส์​แล้ว​ พบว่ามีมอสส์​ทั้งหมด​กว่า​ 22,000 ชนิดพันธุ์​ทั่วโลก​ แต่ละชนิดจะเปลี่ยนสภาพไปตามรูปแบบของดิน​ สามารถอยู่รอดได้ทุกสภาพอากาศ​ อยู่อาศัยในทุกระบบนิเวศ​ การเข้าสำรวจและค้นหาอย่างลึกซึ้งของ ​Kimmerer ได้ช่วยเหลือให้เธอได้รู้จักกับผืนป่าไปด้วย​ เธอจึงได้มองเห็นพืชมอสส์​ในมุมมองอื่นๆ​ มากยิ่งขึ้น​ ในยุคที่สิ่งมีชีวิตบนบกได้ถือกำเนิดขึ้นบนโลก​ หรือที่เรียกกันว่า ยุคดีโวเนียน​ หรือ​ ​Devonian era​ เมื่อประมาณ​ 350​ ล้านปีที่แล้ว มีพืชบกที่เคยปรากฏ​อยู่บนน้ำ และอพยพ​ขึ้นมาอยู่บนบก​ พืชนั้นก็คือ​ มอสส์​นี่เอง!

การเจริญเติบโตของหญ้ามอสส์​: มอสส์​จะโตก็ต่อเมื่อมีความชุ่มชื้น​ และอาศัยอยู่ตามพื้นผิวของโขดหินหรือบนก้อนหิน​ อยู่ตามผิวของเปลือกไม้​ อยู่ตามผิวของท่อนไม้ใหญ่ๆ​ ซึ่งเป็นพื้นที่เล็กๆ​ ที่มีอากาศผ่าน​ กล่าวคือพืชมอสส์​โตอยู่ในระดับพื้นผิวดิน​ และจึงสามารถ​ขยายพันธุ์​ได้ในระดับชั้นผิวดิน​ หรือ boundary layer  ที่อากาศจะลอยตัวช้ากว่า​ชั้นอากาศด้านบนที่สูงกว่า​ อากาศในชั้นเหนือผิวดินนี้จะดักจับความร้อนและไอน้ำที่ระเหยออกจากท่อนไม้บนพื้นขนาดใหญ่ที่มีมอสส์​เกิดอยู่ไว้ ซึ่งมันทำให้เกิด​ Humid zone  หรือโซนอากาศร้อนชื้น​ ที่มอสส์​ทั้งหลายเติบโตกันอย่างงอกงาม

มอสส์บนผิวเปลือกไม้ของต้นลิ้นจี่
ในสวนป่าของเรา!

การสืบพันธุ์​ของหญ้ามอสส์​: มอสส์​มีการสืบพันธุ์​ทั้งแบบอาศัยเพศ และไม่อาศัยเพศ มาดูแบบแรกกัน​ โครงสร้างของอวัยวะสืบพันธุ์มอสส์​ตัวเมีย​ เรียกว่า Archegonium ที่กระจุกตัวกันอยู่อย่างมองเห็นได้ง่าย​ คือสามารถ​เปิดดูใต้ใบได้ว่าข้างในกอมอสส์​มีอะไรบ้าง​ ส่วนอวัยวะสืบพันธุ์ของมอสส์​ตัวผู้​เรียกว่า​ Antheridia มีลำต้นที่บวมใหญ่ไปด้วยสเปิร์มทั้งหลาย​ที่พร้อมจะปล่อยตัวแล้ว​  พืชมอสส์​ทั้งหมดต่างก็ผ่านพ้นวิวัฒนาการ​มาอย่างยาวนานจนยังสามารถ​อยู่รอดได้ในสภาพแห้งแล้ง​ หรือ​ Dry​ land  มอสส์​สืบพันธุ์​ด้วยการผลิตสปอร์​ ที่เป็นผงเล็กๆ อยู่บนส่วนยอดสุดของใบ​ ซึ่งต้องใช้ลมและน้ำเป็นตัวพัดพาสปอร์ออกไปไกลจากที่อยู่เดิม​ ส่วนใบของมอสส์​ที่กระจุกตัวกันอยู่เป็นกลุ่มก้อนจะเป็นตัวดักจับน้ำเพื่อรักษไข่สปอร์เอาไว้ไม่ให้ตายไปหมด​ และยังเป็นเหมือนสระว่ายน้ำสำหรับเหล่าสเปิร์ม​ได้เข้ามาอีกด้วย​ ไข่ที่ยังไม่ได้รับการผสมกับสเปิร์ม​ก็จะนั่งนิ่งอย่างสบายใจและรอ​ มอสส์​ตัวผู้จะผลิตอสุจิ​เป็นจำนวนมาก​ และแต่ละตัวมีโอกาสที่จะได้ผสมกับไข่ของมอสส์​ตัวเมียน้อยมาก​ เพราะพวกเขาก็ว่ายน้ำอยู่ส่วนบนของน้ำที่พร้อมไหลออกอยู่ตลอดเวลา​ ถ้าสเปิร์ม​ยังไม่เจอกับไข่ภายในเวลา  1 ชั่วโมง​สเปิร์ม​ก็จะตายไป​ และไข่ตัวเมียของมอสส์​ก็รออยู่ต่อไป​ ถึงอย่างไรก็ตามที​ มอสส์​ก็ยังสามารถ​ขยายพันธุ์​ไปเองได้​โดยการโคลนตัวเอง​ กล่าวคือมอสส์​สามารถ​สร้างลำต้นขึ้นมาใหม่เองได้โดยไม่ต้องผสมพันธุ์​  คือใช้ส่วนของลำต้นหรือก้านใบที่หลุดหล่นออกจากกลุ่มโดยบังเอิญ​ และตกถึงพื้นดินที่ชุ่มชื้น​ ก็จะมีมอสส์​ต้นใหม่เกิดขึ้นมา​ นี่จึงเรียกว่าสืบพันธุ์​แบบไม่อาศัยเพศ                         

สปอร์ของมอสส์จะโผล่ออกมาอย่างเห็นได้ชัด!

มอสส์​มีภมูิคุ้มกันต่อการตายจากความร้อน หรือแห้งแล้งอีกด้วย​ เพราะสำหรับมอสส์​แล้ว​ ความแห้งแล้งถือเป็นเพียงสิ่งรบกวนชั่วคราวในชีวิตของตน​ “มอสส์อาจจะสูญเสียความชื้นได้มากถึง​ 98 เปอร์เซ็นต์​ และยังคงอยู่รอดต่อไปได้​ เพื่อฟื้นชีพกลับมาอีกครั้งเมื่อได้รับน้ำ​ แม้แต่จะขาดความชื้นเป็นเวลา​ 40​ ปี​ ตอนที่มีความชุ่มชื้นและน้ำเพียงพอ​ มอสส์​ทั้งหลายก็กลับคืนมาอย่างเต็มที่​ ทุกส่วนของมอสส์​ถูกออกแบบมาสำหรับเพื่อกักเก็บน้ำ​” นับไปตั้งแต่ลักษณะ​ของกอหญ้ามอสส์​ไปจนถึงช่องว่างระหว่างใบและก้านใบ​ ลงต่ำไปจนถึงส่วนที่เป็นใบเล็กจิ๋วมากสุด​ มอสส์​โดยส่วนใหญ่จะไม่เกิดอยู่เดี่ยวๆ​ แต่จะกระจุกตัวกันอยู่เป็นกลุ่มๆ อย่างแน่นหนา​ เรียงตัวอยู่ใกล้ชิดกันกับทั้งส่วนใบ และลำต้นที่ผสานทับกันทำให้เกิดเป็นช่องทางน้ำ​ ส่วนใบและช่องว่างที่เก็บน้ำเอาไว้ก็เป็นเหมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำ  ยิ่งถ้าส่วนล่างของลำต้นกระจุกกันอยู่ได้ดีมากเท่าไหร่​ มอสส์​ก็จะยิ่ง​เก็บน้ำได้เยอะมากขึ้นเท่านั้น​ ดังนั้น ก้านใบของมอสส์​จะแตกต่างไปจากใบของต้นไม้โดยสิ้นเชิง​ มอสส์​แต่ละใบสร้างขึ้นเพื่อเป็นแอ่งกักเก็บน้ำ

“จากการเก็บพืชมอสส์​กลุ่มตัวอย่างมาตรวจในวิชาศึกษามอสส์​ของ​ ​Kimmerer​ และผู้เรียน​ พบว่า​ มอสส์​จำนวน 1 กรัม จากพื้นป่า​ มีขนาดเท่ากับแผ่นขนมปัง​ ที่ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของโปรโตซัว (​Protozoa)​ มากถึง​ 150,000 ตัว​ ตัวทาร์ดิเกรด (Tardigrades)​ 132,000 ตัว​ มีแมลงหางดีด​ (springtails)​ มีตัวโรติเฟอร์​ ​(Rotifer​ กลุ่มสัตว์​ไม่มีกระดูกสันหลังขนาดจิ๋ว)​ 800​ ตัว​ มีหนอนตัวกลม (nematodes)​ 500 ตัว​ มีตัวไร​ (Mites)​ 400 ตัว​ มีไข่แมลงวัน​ (Fly larvae)​ 200 ใบ​ จำนวนของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้บ่งบอกเราถึงความอุดมสมบูรณ์​ของสิ่งมีชีวิตจากมอสส์​เพียงหนึ่งกำมือ”

พืชมอสส์​ไม่ได้เป็นเพียงพืชที่อิงอาศัยต้นไม้อื่นเท่านั้น แต่ยังเป็นพืชกาฝากในตัวอีกด้วย​ ภายในผืนพรมมอสส์​มีสาหร่ายอาศัยร่วมอยู่ด้วย​ แผ่นหญ้ามอสส์​จะคอยเป็นตัว​ กักเก็บเศษดินที่มากับลม และเศษใบที่หล่นจากลำต้น​ ดักจับแมลงที่ตายแล้ว ดักจับสปอร์ของมอสส์​ และลำเลียง​ไปสะสมไว้ที่ฐานของลำต้น​ และเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ​มันก็จะกลายไปเป็นดินที่ไม่เคยมีมาก่อน​ เศษเหล่านั้นถูกย่อยสลายโดยร่างแหของเชื้อรา​ นี่คือการสะสมอินทรียวัตถุ​ที่สร้างพื้นดินให้กับรากพืช​ เช่นเดียวกับกล้วยไม้ในป่าฝน หรือเฟริ์น​ที่มาอยู่กับมอสส์​ที่โตอยู่ตามโขดหิน

ในป่าพืชมอสส์​ ​หรือ​ Moss forest คือจุดศูนย์ของวิวัฒนาการ​ เพราะมอสส์​คือพืชชนิดแรกที่เข้าครอบครองพื้นดิน และปกคลุม​เส้นทางไว้ให้สิ่งมีชีวิต​อื่นๆ ตามเข้ามาอยู่อาศัย​ บรรดานักกีฏวิทยา​ หรือ ​Entomologists จำนวนมากเชื่อมั่นว่า​ ช่วงแรกเริ่มของวิวัฒนาการ​ของแมลงเริ่มต้นขึ้นที่​ mats of moss หรือบนผืนพรมของมอสส์​ ด้วยความชุ่มชื้นที่ปกป้องไว้ด้วยมอสส์​ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสิ่งแวดล้อมระหว่างสิ่งมีชีวิต​ดั้งเดิมทางน้ำ และสิ่งมีชีวิตชั้นสูงกว่าบนบก​ ปัจจุบัน​นี้แมลงชั้นสูงหลายชนิดยังคงพึ่งพา​ ผืนพรมมอสส์​เพื่อบำรุงเลี้ยงไข่และตัวอ่อนของตนอยู่

Kimmerer บอกอีกว่า​ การที่จะเข้าใจโลกของพืชมอสส์​ได้​ เธอต้องพยามมองในแบบที่ไม่ใช่มนุษย์​ ในสังคมดั้งเดิม​ของชน​พื้นเมือง​จะมีรูปแบบการเรียนรู้ที่แตกต่างไปจากชาวอเมริกัน​ กล่าวคือ​ เด็กๆ​ จะเรียนรู้ด้วยการมองดู​ ฟัง​ และมีประสบการณ์​จริงกับเรื่องนั้นๆ​ พวกเขาจะได้เรียนรู้จากสมาชิกทั้งหมดของชุมชน​ ทั้งที่เป็นมนุษ​ย์ และที่ไม่ใช่มนุษย์​ การถามคำถามส่วนใหญ่มักถูกมองว่าเป็นความหยาบคาย​ ไม่สุภาพ​ เด็กๆ​ จะไม่ได้รับเอาความรู้ไป​ แต่ความรู้ต่างๆ​ จะส่งมอบให้กับเด็กๆ​ “พวกเขาจะได้รับรางวัลเป็นความรู้ก็ต่อเมื่อ​ เด็กๆ​ พร้อมที่จะรับรู้เอง”  การเรียนรู้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการเฝ้าสังเกตการณ์​อย่างใจเย็น

เธอได้ยกตัวอย่างชนิดพันธุ์​ของมอสส์​ที่เรียกว่า​ Tetraphis pellucida ซึ่งเป็นมอสส์​ที่อาศัยอยู่กับต้นไม้​ มีเอกลักษณ์​เฉพาะตัว​ ด้วยความที่สนใจว่าทำไมมอสส์​ชนิดนี้ถึงรูปร่างเช่นนั้น​ และทำไมถึงอยู่รวมกันกับชนิดอื่นได้ในกระจุกเดียวกัน​ ในการที่จะเข้าใจเรื่องนี้เธอใช้เวลาเป็นหลายปี​ ไม่ใช่แค่หลายเดือน​ และไม่ใช่เพียงแค่นำเอาตัวอย่างจากกอหญ้ามอสส์มาสำรวจ และทำแบบสรุปผล​ แต่เธอเฝ้านับจำนวนรากของมอสส์​ แต่ละกอในช่วงการเติบโตในระยะต่างๆ​ จนในท้ายที่สุดเธอก็ได้พบว่า​ City moss​ หรือ​ มอสส์​ชนิดที่เกิดในสภาพเมืองก็อาศัยอยู่กับพวกเราทุกวันอีกด้วย​ จริงอยู่ว่าจะพบมอสส์​มากกว่าในผืน​ป่า​ ภูเขา ​ตามแหล่งน้ำที่มีโขดหิน และเหล่าต้นไม้​ มอสส์​เมือง​ มีหลากหลายชนิดเช่นกัน​ ที่ปรับตัวได้​ ทนต่อสภาพเครียด​ ต้านทานมลพิษในอากาศ​ และเติบโตได้ในภาพแออัด​ ก็มีหญ้ามอสส์​เกิดอย่างหนาแน่น​ มอสส์​เมืองยังเดินทางเก่งอีกด้วย!

บางชนิดก็ไม่พบตามในธรรมชาติ​ แต่กลับมีเยอะตามสภาพแวดล้อมที่มนุษย์​สร้างขึ้น​ Kimmerer​ เล่าอีกในบางบทตอนว่า​ มีคนที่มีปัญหากับหญ้ามอสส์​  และเธอได้รับสายแจ้งเหตุจากคนในแถบชานเมือง​มาว่า​ สนามหญ้าของพวกเขาที่ดูแลกันเป็นอย่างดี​เสียหาย​ และล้มตายไปบ้าง​ และคิดว่า​มอสส์​ฆ่าหญ้าอื่นในสนามหญ้าของตน​ และจะเอาคืนโดยการทำลายมอสส์​ทิ้งไป​ แต่โดยปกติแล้ว​ มอสส์​ไม่ฆ่า​ หรือ เบียดเบียนหญ้าชนิดอื่นเลย​ เพราะมอสส์​ไม่สามารถ​เอาชนะหญ้าอื่นๆ ได้​ จะมีมอสส์​ในสนามหญ้าได้ก็ต่อเมื่อ มีสภาพที่มอสส์เติบโตได้มากกว่าหญ้าต่างๆ​ เช่น​ อาจจะมีร่มเงามากเกินไป​ ให้น้ำไม่สมดุล​ หรือ ดินมีค่า​ความเป็นกรดด่าง​ต่ำ ​หรือ ดินแข็ง​ เป็นต้น​ ค่อยจะส่งผลให้หญ้าอื่นตาย​ หรือหายไป​ ไม่ใช่มอสส์​ฆ่าหญ้าอื่นแต่อย่างใด

ความอุดมสมบูรณ์​ของพืชมอสส์​ในเมือง​ เป็นอีกเรื่องที่ทำให้ฝนตกตามท้องที่นั้นๆ​ อยู่มาก​ แต่ชาว ​​Oregonians ในรัฐออริกอน เหมือนจะมีความสัมพันธ์​แบบทั้งรักและเกลียด​กับพืชมอสส์​ของพวกเขา​ มีโคงการช่วยเหลือจัดการกับมอสส์​อีกด้วย​ แต่มอสส์​ก็กลับคืนมาตลอด​ มีผู้เชี่ยวชาญด้านการทำหลังคาบ้าน​​​ได้ชี้นำให้เจ้าของบ้านต่างก็เชื่อตามไปว่า​ พืชมอสส์​ส่งผลให้หลังคากระเบื้อง​เสื่อมคุณภาพ​ และก็รั่วซึมในที่สุด​ ด้วยค่าใช้จ่ายในการซ่อมหลังคาบ้านที่แพง​ พวกเขาก็อยากจะนำเอามอสส์​ออกไป​ ซึ่งพวกเขาได้กล่าวหาว่า​ มอสส์​ขยายรากเข้าไปตามรอยต่อที่แตกรอยเล็กๆ ในแผ่นกระเบื้อง​ และมอสส์​ทำให้กระเบื้องแตกชำรุด​ อย่างไรก็ตามที​ ตามที่สอบถามพูดคุยกันเพิ่มเติม​ และติดต่อไปยังบริษัท​ผลิตกระเบื้องแล้ว​ เขาก็แจ้งมาว่าไม่เคยผลิตภัณฑ์​ใดเสียหายจากพืชมอสส์​เลย​ ในความเป็นจริงแล้ว​ พืชมอสส์​สามารถ​ป้องกันกระเบื้องได้จากการแตกร้าว​ หรือพองตัว​ ที่เป็นผลมาจากโดนแสงแดดเยอะเกินไป​ มอสส์​จะทำให้กระเบื้องเย็นกว่าในฤดูร้อน​ ในฤดูฝนก็ยังช่วยชะลอน้ำให้ไหลช้าลง​ ช่วยปิดรู้รั่วซึมได้ และถ้ามีหลังคาที่ปกคลุมด้วยมอสส์​ ก็ยังดูสวยงามอีกด้วย!

ความสวยงามของมอสส์บนหลังคากระเบื้อง

คุณประโยชน์​ของมอสส์​: มอสส์​ที่ยังมีชีวิตอยู่มีบทบาทที่ทำให้น้ำบริสุทธิ์​ มีความสา​มารถพิเศษในการบำบัดให้น้ำใสสะอาด​ คือมอสส์​สามารถดูดกรองเอาสารพิษออกจากน้ำได้​ โรคหืดที่คนในแถบชานเมืองเป็นผลมาจากคุณภาพ​ของอากาศ​ ความอุดมสมบูรณ์ของมอสส์​ตามบริเวณข้างเคียง​ หรือตามละแวกบ้าน​ของคุณ คือตังบ่งชี้ถึงระดับคุณภาพของกาศ! มอสส์ ​และไลเคนต่างก็เปาะบางต่อมลพิษ​ในอากาศ​ ต้นไม้ตามย่านถนนแต่ก่อนเคยมีสีเขียวปกคลุม​ด้วยมอสส์​ แต่ตอนนี้มีแค่ต้นไม้ที่ไร้มอสส์​  ลองสำรวจดูตามละแวกที่คุณอยู่ดู คุณก็จะได้ทราบว่าสภาพอากาศที่นั่น​เป็นอย่างไร

มอสส์​จะเสี่ยงต่ออากาศเป็นพิษมากยิ่งกว่าพืชชั้นสูงชนิดอื่นๆ​ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์​ (sulfur dioxide) ที่พ่นออกมาจากโรงงานผลิตไฟฟ้า​ เนื่องจากว่า​ มอสส์​มีก้านใบเป็นเซลล์​ชั้นเดียว​  ในขณะที่ใบหญ้าชนิดอื่น​ ใบไม้พุ่ม​ และใบไม้ยืนต้นมีหลายชั้นมากกว่า​ มอสส์​เองก็เริ่มจะเลือนหายไปนับมาตั้งแต่ช่วงอุตสาหกรรม​เริ่มขึ้น​ และลดจำนวนลงอย่างต่อเนื่อง​ ทุกพื้นที่ที่มีปัญหาทางสภาพอากาศสูง​ มีมอสส์​กว่า​ 30​ ชนิดพันธุ์​ที่เคยเติบโตอยู่ในเขตเมือง แต่ตอนนี้ก็ถูกขจัดออกไปแล้วด้วยระดับของมลพิษทางอากาศที่เพิ่มขึ้น​

“มอสส์​ชนิดพันธุ์​ที่อิงอาศัยอยู่ตามต้นไม้​ สามารถ​วัดคุณภาพของอากาศได้​ ฉะนั้นถ้าในแถบเมืองอากาศดีขึ้นก็มักจะพบเห็นมอสส์​หวนกลับคืนมาอีกครั้งเช่นกัน”

เรื่องราวของมอสส์ยังไม่หมดเท่านี้ เหนื่อยอ่านกันรึยังเอ่ย? ถ้าอยากรู้เพิ่มก็มาต่อกันเลยดีกว่า ใกล้จบแล้วนะ!

เราขอยกอีกบทหนึ่งมาแบ่งปัน นั่นก็คือ The web of reciprocity: Indigenous uses of moss หรือ​ สายใยแห่งการถ้อยทีถ้อยอาศัย: วิธีการนำมอสส์​มาใช้ประโยชน์ของชนพื้นเมือง​ พวกเขาเชื่อกันว่า สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีบทบาทหน้าที่เฉพาะของตน​ ทุกสิ่งมีชีวิตมีพรสวรรค์​เฉพาะตัว​ เช่น ​มีความฉลาดของตัวเอง​ มีจิตวิญญาณ และเรื่องเล่าของตัวเอง​ ผู้สร้างสรรค์​สรรพสิ่งได้มอบสิ่งเหล่านี้ให้กับพวกเรา ตามหลักคำสอนดั้งเดิมที่​กล่าวไว้ว่า พื้นฐานของการศึกษาก็คือ เพื่อออกค้นหาพรสวรรค์​นั้น และเรียนรู้ที่จะใช้มันให้ดี​  มอสส์มีหน้าที่อยู่หลายอย่าง​ เช่น เป็นเสื้อผ้าให้กับดิน ทำให้น้ำและอากาศบริสุทธิ์​ และช่วยให้รังนกนุ่มสบายมากยิ่งขึ้น​ สายใยแห่งการพึ่งพากันและกัน ตามที่เหล่าผู้อาวุโสของกลุ่มชนพื้นเมืองได้กล่าวไว้ก็คือ ทุกสิ่งอย่างเชื่อมโยงถึงกันไปหมด​ อย่าง​ ต้นเมเปิลได้รับของขวัญด้วยน้ำหวานจากต้น​ และจับคู่ความรับผิดชอบเพื่อแบ่งปันของขวัญนั้นด้วยการเลี้ยงดูผู้คนในช่วงหิวโหยของปี​ พืชเสจ​ (Sage) มีหน้าที่ของตนเองด้วย​ เพื่อลำเลียงน้ำไปยังก้านใบเพื่อให้กระต่ายตัวอื่นๆ ได้กิน​ เพื่อเป็นร่มเงาให้นกเล็กๆ​  ทุกส่วนของต้นเสจยังรับผิดชอบต่อผู้คนอีกด้วย​ ต้นเสจช่วยเหลือให้พวกเรามีจิตแจ่มใส​ไปจากเรื่องความป่วย​ ความเครียด​ และยังช่วยปลุกระดมความคิดแง่บวกของเราขึ้นมาแทน

ถ้าพืชแต่ละชนิดมีหน้าที่เฉพาะของตน​ และเชื่อมโยงถึงกันกับชีวิตมนุษย์​ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพืชเหล่านั้นมีหน้าที่อันใดบ้าง​ เราจะใช้พืชถูกสรรพคุณ​ได้อย่างไร​ ตำนานความรู้ทางนิเวศวิทยาดั้งเดิม​ คือคู่แฝดที่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์​ ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นจนนับไม่ถ้วน​ จากรุ่นคุณยายสู่รุ่นลูกหลาน ด้วยการมาชุมนุมกันในทุ่งหญ้า​ แต่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาจากไหนตั้งแต่แรก​ พวกเรารู้ได้อย่างไรว่าต้องใช้พืชชนิดใดตอนที่มีการคลอดลูก​ พืชชนิดใดช่วยดับกลิ่นตัวของนักล่า​ ความรู้ดั้งเดิม​ หรือ​ Traditional Knowledge​ (TK) เกิดขึ้นมาจากการเฝ้าสังเกตการณ์​ทางธรรมชาติ​ จากผลลัพธ์​ของการจากไปของหลายชีวิตในการทดลอง​ ความรู้ดั้งเดิมฝังรากอยู่ในสภาพภูมิทัศน์ท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง​ ที่ซึ่งผืนแผ่นดินเป็นผู้สอน​ ความรู้เรื่องพืชได้มาจากการจ้องมองดูว่าสัตว์​ต่างๆ กินอะไร​ และความรู้ก็มาจากต้นพืชเองด้วย​ สำหรับคนที่ใส่ใจเป็นอย่างดีเวลาสังเกตดูต้นพืช​ พืชก็มักจะเปิดเผยของขวัญส่วนตัวให้เราได้พบเห็น

การสร้างชีวิตในเมือง​ ประสบความสำเร็จได้เพียงในเรื่องการแบ่งแยกตัวเราไปจากเหล่าพืชพรรณที่หล่อเลี้ยงพวกเรามา​ หลายๆ คนได้สูญเสียความสาม​ารถในการรับรู้สรรพคุณ​ของพืชท้องถิ่นไปแล้ว​ และต้องไปอ่านวิธีการใช้แทน​ หลายๆ คนก็คงไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อเรียกของพืชพรรณ​กันไปแล้ว​ “พบค่าเฉลี่ยของคนที่รู้จักพืชนั้นปรากฏว่า คนหนึ่งจะรู้จักพืชน้อยกว่า​ 12​ ชนิด นี่คือการก้าวไปสู่การสูญเสียความเคารพ​ การรู้จักชื่อของพืชพรรณ​ คือการก้าวเข้าสู่การเชื่อมโยงถึงกันของพวกเรา”

ในการหยั่งรู้ดั้งเดิมของชนพื้นเมืองเมริกัน​ มีวิธีการที่เราจะสามารถ​เรียนรู้ถึงความสามารถ​พิเศษ​ของพืชต่างๆ ได้นั้น​ ก็คือ​ จะต้องว่องไวเท่าทัน​ “การมา​ และการจากไปของพืชนั้นๆ” รวมถึงมุมมองทางโลกของชนพื้นเมืองที่เข้าใจพืชพรรณแต่ละชนิดได้จากตามแหล่งที่พืชนั้นๆ มักเกิดอยู่​ การเข้าใจได้ว่า​ พืชพรรณ​มาถึงตอนไหน และเกิดอยู่ตรงไหน ตามที่พวกเขาต้องการเติบโตไป​  พอพืชต่างๆ พบที่อยู่อาศัย​ พวกเขาก็จะเติมเต็มหน้าที่ของตน Kimmerer​ ​ได้​พยายามสอบถามกับนักสมุนไพรพื้นบ้าน และเหล่าผู้อาวุโสเกี่ยวกับการนำมอสส์​มาใช้ประโยชน์​ แต่พวกเขาเองก็ไม่แน่ใจว่า​ ใช้อย่างไรและใช้กับอะไร​ แต่พวกเขาไม่ได้ใช้หญ้ามอสส์​เป็นยาสมุนไพร​หรือกินเป็นอาหาร​ โดยปกติแล้วผืนพรมของมอสส์​ใช้ป้องกันความหนาวเย็น!​

ตามความเข้าใจของชาว Onondaga เชื่อกันว่า “พืชสมุนไพร​มักเกิดอยู่ใกล้กับแหล่งที่มีความเจ็บป่วย” ความเชื่อ หรือ หลักการอีกอย่างหนึ่งของความรู้เรื่องพืชพรรณของชนพื้นเมืองก็คือ​ “เราสามารถ​เรียนรู้วิธีใช้พืชนั้นๆ ได้จากจุดที่พวกเขาเกิดอยู่​” ตามที่รู้จักกันเป็นอย่างดีว่า​ พืชสมุนไพร​มักปรากฏ​ตัวอยู่ตลอดเวลาในบริเวณใกล้เคียงกับโรคภัย​

และในท้ายที่สุด​ Kimmerer​ ก็ได้พบกับการนำพืชมอสส์​ไปใช้​สอย​ด้านอื่นๆ เธอพบว่ามีการนำหญ้ามอสส์​ไปใช้กับหลายอย่างด้วยกัน​ เช่น​ ใช้มอสส์ทั้งแผ่น​เป็นผ้าอ้อมเด็กและใช้แผ่นแห้งเป็นผ้าอนามัย​ พบหลักฐาน​ตามที่นักมานุษยวิทยา​ในศตวรรษ​ที่​ 19​ ซึ่งเป็นผู้ที่เข้ามาสำรวจและบันทึก​ข้อมูลเอาไว้​  นี่คือหน้าที่บางส่วนของมอสส์​ที่แสดงถึงของขวัญส่วนตัวให้พวกเราได้รับรู้​ มีการใช้หญ้ามอสส์​เป็นเครื่องใช้ของผู้หญิง​ ลูกเด็กเล็กๆ​ ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยมอสส์​ที่นุ่มสบาย​ และมอสส์​แห้ง​ ชนิดที่ชื่อว่า “Sphagnum moss” สามารถ​ดูดซับน้ำได้มากถึง​ 20-40​ เท่า​ จึงใช้เป็นเหมือนผ้าอ้อมแพมเพิสให้กับเด็กๆ​ ได้เลย​ นี่คือของใช้ ที่พอใช้เสร็จแล้วก็ทิ้งได้เป็นครั้งแรกอีกด้วย!​ หญ้ามอสส์​ได้แสดงถึงคุณประโยชน์​อันยิ่งใหญ่ของตน​ มอสส์​แห้งชนิดนี้จะมีรูช่องว่างมากมายในแผ่น​ จึงดูดซับน้ำปัสสาวะ​ออกจากผิวเด็กได้เป็นอย่างดี​ รวมถึงมีสรรพคุณ​เป็นยาป้องกันการติดเชื้ออ่อนๆ อีกด้วย​ ซึ่งช่วยไม่ให้เป็นผื่นคันตามผิวหนัง​ “ชีวิตของผู้หญิงก็มีส่วนเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับหญ้ามอสส์​ในช่วงมีประจำเดือน​ ในวัฒนธรรม​ดั้งเดิมมีการใช้มอสส์​แห้ง เป็นผ้าอนามัย​กันอย่างแพร่หลาย”

“ผู้หญิงชาว​ ​Iroquois บอกว่า​ มีสิ่งต้อมห้ามที่ผู้หญิงห้ามทำในช่วงที่มีประจำเดือน​ เพราะผู้หญิงจะมีอิทธิฤทธิ์​ทางจิตวิญญาณ​สูงในช่วงนี้”​ ถึงแม้จะมอสส์​จะไม่ถูกนำไปประกอบอาหารโดยตรง​ แต่มอสส์​ก็มีบทบาทสำคัญต่อการจัดเตรียมอาหารระหว่างชนเผ่าพื้นเมืองของฝั่ง​ Pecific Northwest ในช่วงจับปลาแซลมอน พวกเขาจะถนอมอาหาร​เก็บไว้ได้นานๆ​ และก่อนจะนำปลาแซลมอนไปตากแดด​ จะต้องล้างเอาน้ำเมือกที่ติดเต็มตัวปลาออกก่อน​ “หญ้ามอสส์​ถูกนำมาใช้ทำความสะอาดตัวปลาในขั้นตอนนี้” อีกบทบาทหนึ่งของพืชมอสส์​ก็คือ มีชนเผ่าที่ใช้มอสส์​เป็นหีบห่อ​อาหาร​ พวกเขาใช้ทั้งมอสส์​ และเฟริ์น​ห่อเก็บอาหารเอาไว้

คงไม่มีระบบนิเวศใดในโลกที่พืชมอสส์​จะประสบความสำเร็จ​ได้มากไปกว่ามอสส์​สายพันธุ์​ “Sphagnum bog” มีคาร์บอนอยู่ในต้นของ​ “Sphagnum moss”​ มากกว่ามอสส์​สายพันธุ์​อื่นในโลก​ มอสส์​ที่อยู่ตามผืนป่าจะปกคลุม​ด้วยร่มไม้ และกิ่งก้านใบของพืชอื่นๆ​ มากเกินไป​ มอสส์​เหล่านี้จึงมีบทบาทน้อยกว่า​ แต่พืชมอสส์​ที่เกิดอยู่ตาม​หนองบึง​ จะมีความเหนือชั้นมากกว่า​ Sphagnum หรือ​ Peat Mosses ไม่เพียงจะเติบโตดีในหนองบึงเท่านั้น​ แต่มอสส์​ชนิดนี้สร้าง​แอ่งหนองน้ำขึ้นมาอีกด้วย Kimmerer​ กล่าวอีกด้วยว่า​ เธอไม่รู้จักพืชชนิดไหน ที่จะมีความชำนาญทางวิศวกรรม​ได้เทียบเท่ากับมอสส์​สายพันธุ์​นี้ จากการที่พวกเขาสามารถ​สร้างต้นใหม่ขึ้นมาเอง​ พื้นดินตามแหล่งหนองน้ำต่างก็ปกคลุม​ด้วยมอสส์​ชนิดนี้​ แต่ที่จริงแล้วมันกลับไม่ใช่พื้นดินเลย​ มันมีแค่น้ำ​ ที่ช่วยออกแบบโดยมอสส์​ชนิดนี้​ พอเธอเดินลงไปในหนองน้ำนั่น​ เธอพบว่ามีเพียงผืนพรมของมอสส์​ที่ปกคลุมผิวน้ำในหนองบึงนั้น​ เธอมองเห็นที่ว่ายน้ำได้เพียงตรงกลางหนองน้ำนี้​ มอสส์​ชนิดนี้ทำให้น้ำเปรี้ยวจึงเติบโตได้ดีกว่าพืชอื่นๆ​ และยังทำให้พืชอื่นอาศัยอยู่ไม่ได้อีกด้วย​!

การปล่อยกรดออกจากต้นส่งผลให้มอสส์​ชนิดนี้ดูดซับสารอาหารจำเป็นที่มอสส์​ต้องการใช้ น้ำตามบริเวณ​ขอบริมหนองบึงอาจจะมีค่า​ ph อยู่ที่ประมาณ​ 4.3​ ซึ่งเท่ากับน้ำส้มสายชูจางๆ​ “ความเป็นกรดของน้ำยังส่งผลให้มอสส์​ชนิดนี้มีสรรพคุณยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย​อีกด้วย”​ แบคทีเรีย​ส่วนใหญ่จะอยู่อาศัยได้ในน้ำที่มีค่า​ ph​ ต่ำๆ​ มีการนำมอสส์​ชนิด​นี้มาใช้เป็นผ้าพันแผลในยุคสงครามโลกที่​ 1 ตอนที่ผ้าฝ้ายมีอยู่จำกัดในสงคราม​อียิปต์​ พบการใช้มอสส์ชนิดนี้กันอย่างแพร่หลายในโรงพยาบาล​ทหาร​

ยังพบว่ามีการใช้มอสส์​ในเชิงพาณิชย์​อีกด้วย​ นั่นก็คือใช้มอสส์เป็นตัวปรับปรุงดิน​ สำหรับการทำสวน​ เศษอินทรียวัตถุ​ของมอสส์​จะช่วยทำให้ดินเหนียวๆ แตกออกจากกัน​ และช่วยทำให้ดินร่วนชุ่ยยิ่งขึ้นแทน​ มีคนนำเอามอสส์​ไปฝังไว้ในดินอีกด้วยเพื่อเป็นตัวช่วยอุ้มน้ำในดินสวน​ โดยการดูดซับเองตามธรรมชาติของเซลล์​ที่ตายแล้ว​ นอกจากนี้ยังใช้มอสส์​เป็นฟองน้ำในดินเพื่อช่วยดูดซับสารอาหาร​ ส่งเสริมการปลดปล่อย​สารอาหารให้ต้นพืชอื่นได้เรื่อยๆ

ตามโขดหินหรือก้อนหินเปล่าๆ​ มอสส์​จะอยู่ไม่ได้​ ผิวของหินจะโดนชะล้างด้วยลมและน้ำก่อน​ และกัดกร่อนด้วยกรดที่ราไลเคนผลิตไว้ตอนที่หมดอายุไป​ จากนั้นสปอร์ของพืชมอสส์​ก็จะสร้างเส้นใยสีเขียนขึ้นมาอย่างประณีต​ ที่เรียกว่า​ ​Protonema ซึ่งจับตรึงอยู่อย่างแน่นหนากับโขดหิน​ ถ้าเส้นใยเหล่านี้อยู่รอด​ สปอร์มอสส์เล็กๆ​ จะเกิดขึ้นมา และแตกหน่อไปเป็นก้านใบ

มอสส์​มีความสัมพันธ์​อย่างลึกซึ้งกับแหล่งที่อยู่อาศัยของตน ซึ่งมนุษย์​ยุคร่วมสมัยน้อยคนจะเข้าใจได้​ เพราะมอสส์​จะเกิดในพื้นที่หนึ่ง เพื่อเจริญ​เติบโตอยู่ที่นั่น​ ชีวิตของพืชมอสส์​ได้รับการค้ำจุนโดยอิทธิพล​ของไลเคนที่เคยอยู่มาก่อน และมอสส์​ชนิดอื่นๆ ที่เคยอยู่มาก่อน​ ซึ่งเป็นผู้ที่ทำให้หินกลายเป็นที่อยู่อาศัย​ของสปอร์มอสส์​ที่เลือกไว้แล้ว และอยู่ที่นั่นต่อไป​

พื้นดินทุกพื้นที่ในป่าฝนเขตอบอุ่น​ ​หรือ​ ​Temperate rain forest​ มักปกคลุมไปด้วยมอสส์​ ที่อยู่ตามโขดหิน​ ตามท่อนไม้ใหญ่ๆ​ ตามต้นไม้ใหญ่​ และตามตอไม้​ พื้นป่าทั้งหมดเป็นสีเขียวปะปนกันอยู่ตามหญ้าและมอสส์​ป่า​ ความงดงามของมอสส์​ในผืนป่ามีมากกว่าที่เราจะมองเห็นได้ มอสส์​คือส่วนสมบูรณ์​ทั้งหมดต่อการทำงานของผืนป่า​ “พวกเขาไม่ใช่แค่เติบโตอยู่ในป่า​เท่านั้น แต่มอสส์​ทำหน้าที่สำคัญในการสร้างผืนป่า” เมื่อฝนตกลงมาโดนกับชั้นเรือนยอดของป่าไม้​ ก็จะมีเส้นทางให้น้ำฝนไหลลงมาสู่พื้นดินหลายช่อง​ทาง ฝนที่ตกลงมาอย่างเร่งรีบนั้น​ น้อยมากที่น้ำฝนจะตกถึงพื้นดินของป่า​ เพราะหยาดน้ำฝนจะถูกแยกโดยใบไม้​ และไหลต่อออกไปตามกิ่งไม้​ ง่ามไม้​ และไหลลงต่อไปตามลำต้นไม้เรื่อยๆ​ ซึ่งทำให้เกิดเป็นสายน้ำเล็กๆ​ ที่ไหลมาบรรจบ​กัน​ นักป่าไม้เรียกกระบวนการที่น้ำฝนทุกหยดที่ไหลลงสู่ลำต้นของต้นไม้ว่า​ “stemflow” หรือ​ “​Throughfall” คือน้ำไหลจากก้านใบ​ ไปสู่​ง่ามกิ่งไม้​ และไหลรวมกันที่ลำต้น​ และบรรจบกันที่โคนต้น

มอสส์ที่เกาะอยู่ตามโคนต้นไม้
ช่วยสะสมสารอาหารที่ไหลมาจากลำต้นไว้อีกด้วย

Kimmerer ได้ยืนเฝ้ามองกระบวนการนี้อย่างน่าพิศวง​ เธอเห็นน้ำหยดแรกจมดิ่มลงในเปลือกไม้​ เหมือนฝนที่ตกลงบนดินที่กระหายน้ำ​ ชั้นผิวของเปลือกไม้เป็นตัวดูดซับเอาความเปียกชื้นไว้​ จากกระบวนการที่น้ำฝนชะล้างต้นไม้และนำพาเอาสารอาหารที่เกาะอยู่ตามกิ่งก้านของต้นไม้ลงไปยังรากไม้นี้​ คือการหมุนเวียนสารอาหารจากเปลือกนอกของไม้ไปให้ดิน เพื่อเก็บสารอาหารที่จำเป็นไว้ในต้นไม้ และป้องกันไม่ให้สารอาหารสูญเสียไปจากพื้นป่า​ “ผืนดินต่างก็มอบคำขอบคุณให้กับมอสส์”

ตามที่น้ำไหลผ่านกอมอสส์​ นอกจากมอสส์จะช่วยชะลอน้ำให้ไหลช้าลงไปตามลำต้นแล้ว มอสส์จะดูดซับน้ำส่วนใหญ่เข้าไว้ในกอมอสส์​ทุกส่วน​ “พบการวัดค่าประมาณการดูดซับน้ำของมอสส์​ในผืนป่าที่​ Costa Rica ว่ามอสส์​ดูดซับน้ำได้ถึง​ 50, 000​ ​ลิตร​ ต่อ​พื้นที่ป่าหนึ่งเฮกตาร์​จากฝนที่ตกเพียงครั้งเดียว” หรือแม้ฝนจะไม่ตก​ มอสส์​ที่อยู่ตามชั้นเรือนยอดของป่า ก็ยังเก็บสะสมน้ำและความชื้นไว้ และปล่อยทิ้งลงสู่พื้นดินของป่าอย่างช้าๆ​ เพื่อช่วยรักษาความชื้นของดิน เพื่อให้เหล่าต้นไม้ได้เติบโต​ ซึ่งมอสส์​ก็จะได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยไปในตัว​ ถ้าหากไม่มีมอสส์ป่าไว้ดูดซับน้ำและเก็บรักษา​ความชุ่มชื้อนของผืนป่า​ น้ำคงจะไหลเป็นสีน้ำตาลปะปนกันไปกับเศษดิน และกองทับถมกันอยู่ตามธารน้ำที่มีปลาแซลมอน​ เหมือนที่มันชะล้างผืนดินไปยังทะเล​ “แม่น้ำต่างก็มอบคำขอบคุณให้กับมอสส์​”

วงจรย้อนกลับเชิงบวก​ หรือ positive feedback loop จึงเกิดขึ้นระหว่างพืชมอสส์​ และความชุ่มชื้น​ กล่าวคือ ยิ่งมีมอสส์​เยอะมากเท่าไหร่​ ผืนป่าก็จะยิ่งมีความชุ่มชื้นมากขึ้นเท่านั้น​ ยิ่งผืนป่ามีความชื้นมากขึ้นกว่าเดิม ก็จะยิ่งมีมอสส์เกิดมากขึ้นตามมา​ หากไม่มีสภาพอากาศ​เช่นนี้​ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กก็จะตายหรือหายตัวเร็วเกินไป​ ดังนั้น หากผืนป่าไม่มีมอสส์​ ก็จะมีแมลงน้อยกว่า​ และกระทบกระเทือน​ไปยังห่วงโซ่อาหารอื่นๆ ตามลำดับ เฟริ์น​ชนิดต่างๆ ที่เติบโตอยู่ตามกิ่งไม้ หรือ ตามลำต้นของต้นไม้ก็ตามที​ ต่างก็ไม่เคยแผ่รากออกไปตามเปลือกไม้เปล่าๆ​ แต่จะแผ่รากออกไปตามผืนพรมมอสส์​เสมอ​ “เฟริ์น​ต่างก็มอบคำขอบคุณให้กับมอสส์​”

พืชมอสส์​หล่อเลี้ยงสิ่งมีชีวิตอื่น ทั้งตอนที่มีชีวิตอยู่และตอนที่แห้งตายไปแล้ว​ ตัวทาก ​หรือ​ slugs ต่างก็ชอบกินมอสส์​ และก็ช่วยแพร่กระจายสปอร์มอสส์​ไปอยู่ที่อื่นๆ อีกด้วย​ ส่วนร่างแหของเชื้อรา​ หรือ​ fungal mycelium​ ก็รับผิดชอบในเรื่องของการย่อยสลายสารอาหาร​ ความอยู่รอดของพวกเขาขึ้นอยู่กับความชุ่มชื้นที่สม่ำเสมอในท่อนไม้ใหญ่ๆ เป็นอย่างมาก​ ผืนพรมมอสส์จึงเป็นเหมือนเสื้อผ้าห่อหุ้ม และปกคลุมท่อนไม้ไว้จากความตาย​ ซึ่งมอสส์​ช่วยเตรียมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมให้กับเหล่าเชื้อราได้เจริญเติบโต​ มอสส์​สร้างความสัมพันธ์​แบบอิงอาศัยกันกับ​เชื้อเห็ดรา Mycorrhizal fungi อีกด้วย​ โดยมีต้นไม้เป็นเจ้าบ้าน และหล่อเลี้ยงเห็ดราด้วยน้ำตาลที่ต้นไม้ได้รับจากการสังเคราะห์​แสง​ และเชื้อเห็ดรา ก็ตอบแทนน้ำใจต้นไม้ด้วยการขยายร่างแหของตนให้กระจายตัวออกไปไกลๆ เพื่อนำเอาสารอาหารต่างๆ ในดินกลับคืนมาให้ต้นไม้​ จากผลการค้นพบล่าสุด​ พบว่า​ มีร่างแห​ Mycorrhizal​ อยู่อย่างหนาแน่นใน​อัตรา​ที่สูงมาก ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ชั้นพรมของมอสส์​ ซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหารและความชุ่มชื้น​ การมีปฏิสัมพันธ์​ร่วมกันเช่นนี้ยังเข้าใจได้ยาก​ แต่ก็มีกลุ่มนักวิจัยได้ไขปริศนา​ที่ยากต่อการเข้าใจไว้ว่า เชื้อเห็ดราออกตามหาแหล่งธาตุอาหารที่มีฟอสฟอรัส​ไปทั่วป่า​ และตอนที่ฝนตก และน้ำไหลผ่านกระบวนการ ​Throughfall ที่ชะล้างฟอสฟอรัส​จากต้นสนสปรูซลงไปยังผืนพรมมอสส์​ด้านล่าง​ ซึ่งเป็นที่สะสมฟอสฟอรัสไว้ จนกระทั่งเห็ดราขยายร่างแหเข้ามายังพรมมอสส์​ โดยใช้ร่างแหดูดซับธาตุฟอสฟอรัส​จากเนื้อเยื่อมอสส์​ที่ตายแล้ว​ ร่างแหของเห็ดราเดียวกันนี้ก็สร้างความสัมพันธ์​กับรากของต้นสนสปรูซอีกด้วย​ โดยเป็นสะพานเชื่อนโยงกันระหว่างมอสส์​ ​และต้นไม้​ สายใยแห่งการอยู่อย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยนี้ทำให้มั่นใจได้ว่า ธาตุฟอสฟอรัส​จะหมุนเวียนอยู่ต่อไปไม่จบสิ้น​ “เชื้อเห็ดราต่างก็มอบคำขอบคุณให้กับมอสส์”

วิธีการอยู่แบบพึ่งพาอาศัยกัน ที่มอสส์​ได้สานสัมพันธ์​เข้าไว้ด้วยกันเช่นนี้​ แสดงให้พวกเราเห็นว่า ชุมชนแห่งผืนป่าดำรงอยู่กันอย่างไรบ้าง พืชมอสส์​รับเอาเพียงน้อยนิดตามที่เขาต้องการ​ และมอสส์​ให้ของกลับคืนอย่างอุดมสมบูรณ์​ มอสส์ดำรง​อยู่เพื่อค้ำจุนชีวิตในแม่น้ำ​ ก้อนเมฆ​ ต้นไม้​ นก​ สาหร่าย​ เหล่าสัตว์​ครึ่งบกครึ่งน้ำ​ อย่าง​ซาลาแมนเดอร์​ ในขณะที่พวกเราต่างก็ทำให้มอสส์​ทั้งหลายเสี่ยงต่อการหายตัวไป

เรื่องราวของมอสส์ ผู้ที่มีบทบาทสำคัญมากยิ่งต่อระบบนิเวศในผืนป่า ส่วนที่เรายกมาทั้งหมดนี้ หวังว่าจะมีประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านมากพอสมควร เนื้อหาสำคัญในหนังสือยังมีอีกหลายประเด็นเกี่ยวกับนิเวศ​วิทยาของมอสส์​ บทบาทของมอสส์​แต่ละชนิด​ ​วิ​ธีปลูกมอสส์​ และอื่นๆ​ ​โปรดตามต่อกันเองจากหนังสือทั้งเล่ม แต่เราขอปิดท้ายบทรีวิวของหนังสือเล่มนี้ด้วยคำกล่าว​ด้านล่างนี้

“ครั้งหนึ่งมีผู้อาวุโสได้อธิบายไว้กับ Kimmerer ว่า​ พืชต่างๆ​ จะเข้ามาหาพวกเรา ตอนที่เราต้องการพวกเขา​ ถ้าเราแสดงความเคารพ​โดยการนำพืชเหล่านั้นมาใช้ ด้วยความสำนึกในคุณค่าของพืชนั้นๆ​ พวกเขาจะเติบโตแข็งแรงมากยิ่งกว่า​ พืชนั้นจะอยู่กับพวกเราอีกตราบนานเท่านาน ตามที่พวกเขาได้รับการเคารพ​จากเรา​ แต่ถ้าเราหลงลืมพืชเหล่าไป​ พวกเขาก็จะหายตัวจากไปเช่นกัน”

ครั้งหน้าที่คุณพบเห็นกับมอสส์ อย่าลืม แวะทักทาย​ กล่าวคำขอบคุณ วางมือสัมผัส และจ้องมองดูความน่าทึ่งของพวกเขากันได้เลย แล้วพบกันใหม่ในบทรีวิวหนังสือเล่มหน้า! ขอบคุณมากยิ่งที่ติดตามบทรีวีวหนังสือของเรา


คุณชอบบทความชิ้นนี้ไหม? ถ้าบทความแนว “มุ่งอธิบายแนวคิดเป็นองค์รวม” มีประโยชน์ต่อคุณอยู่บ้าง สามารถร่วมสนับสนุนผลงานของเราได้ ผ่านการส่งปัจจัยบริจาค (ตามคุณค่าที่คุณได้รับโดยไม่จำกัด) งานเขียนแนวนี้เกิดขึ้นมาจากความตั้งใจที่เรามุ่งสร้างความเข้าใจใหม่ที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นให้กับผู้คนในสังคม ด้วยการสละเวลาส่วนตนของเราเองเพื่อเป็นกระบอกเสียงในแบบที่แตกต่างไปจากมุมมองเดิมในอดีต ติดต่อส่งความคิดเห็น หรือ อยากวิเคราะห์วิจารณ์งานเขียนได้โดยตรงที่อีเมล์ amoolnam@gmail.com หรือต้องการส่งปัจจัยบริจาคให้กับโครงการอิสระของเรา โครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์ธรรมชาติ สวนฟื้นฟูวิถียั่งยืน ได้โดยสแกนคิวอาร์โคดด้านล่างนี้ โครงงานของเรายังอยู่ในระยะเริ่มต้น ซึ่งไม่มีรายได้เป็นประจำ เราขอขอบคุณทุกท่านมากยิ่งที่สนับสนุนผลงานของเรา ทุกการบริจาคถือเป็นแรงผลักดันให้เราได้ศึกษาค้นคว้างานวิจัย เขียนบทความ แปลงาน และแบ่งปันความรู้ในแบบองค์รวมให้กับผู้คนในสังคมสืบต่อไป!