
กินอะไรดี ถ้าอาหารในร้านค้าหมด
มาดูวิธีการเรียบง่าย ใช้ในระดับท้องถิ่น กับเรื่องระบบความยืดหยุ่นทางอาหาร และความมั่นคงทางอาหารในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ตอนที่ 1: การทำสวนป่าอาหาร – เราเรียนรู้อะไรจากธรรมชาติได้บ้าง (Creating a Food Jungle – What Nature can teach us)
บทความตอนนี้คือฉบับเต็มจากบทความต้นฉบับ ถ้ามีเวลาน้อยคลิกอ่านฉบับย่อได้ที่นี่
หมายเหตุ: บทความตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของบทความทั้งชุด ซึ่งเราพาไปสำรวจหาหนทางออกสำหรับมรสุมปัญหาที่เราเผชิญกันอยู่ทุกวันนี้ คลิกอ่านบทก่อนหน้าที่นี่ตอน Zero: บทนำ – ปัญหาคืออะไร? (What’s the Problem?)
หรือคลิกกลับไปยังหน้าแรกพร้อมสารบัญทั้งหมดที่นี่
ความผิดพลาดครั้งใหญ่สุดและจุดอ่อนหลักๆ รวมถึงความไม่ยั่งยืนอย่างแท้จริงของระบบเกษตรกรรมทั่วไปก็คือ มัน ต่อสู้คัดค้าน กับพระแม่ธรรมชาติ (Mother Nature) ไม่ใช่ร่วมมือกัน ถ้าเราต้องการได้อาหารมากกว่า แต่อยากทำงานน้อยๆ เราจะต้องค้นหาวิถีทางเพื่อร่วมมือกันกับธรรมชาติ และทำงานร่วมกันเพื่อเป้าหมายเดียวกัน แต่จริงๆแล้วธรรมชาติต้องการอะไร? เรารู้ได้ง่ายๆกับลองคิดเล่นดูว่า:
ถ้ามีพื้นที่แปลงหนึ่งที่ไม่ได้ใช้ทำอะไร ซึ่งพึ่งถูกตัดถางออกและถูกไถพลิกดิน และหลังจากนั้นเราห้ามไม่ให้มนุษย์ตนไหนเข้าไปยุ่งเกี่ยวอีกเลย และก็แค่รอดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างที่นั่น ดังนี้ ครั้งแรกคุณก็จะเห็น พืชสมุนไพรและหญ้าวัชพืชที่ต่างก็แตกหน่อออกรากปกคลุมดินอย่างรวดเร็วสุดขีด (มันทำให้ดินเย็นตัวลง มันกักเก็บความชื้น ป้องกันการกัดเซาะหน้าดิน และป้องกันน้ำไหลหลาก) จากนั้นคุณก็จะเห็นพันธุ์ไม้ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว (fast-growing pioneers) ได้แก่ พวกไม้เนื้ออ่อน ไม้เถาไม้เลื้อย บางส่วนเป็นพันธุ์ไม้ตระกูลถั่วซึ่งช่วยตรึงธาตุไนโตเจนในอากาศให้กับดิน พอต้นไม้งอกงามก็จะขยายร่มเงาให้ดินมากกว่าเดิมอีก (จากนั้นพันธุ์ไม้เหล่านี้ก็เข้ายึดครองพื้นดินแทนที่เหล่าหญ้าวัชพืช และทำให้มีสภาพอากาศที่เหมาะสมสำหรับพันธุ์ไม้ชนิดอื่นต่อไป) ส่วนรากไม้ที่ชอนไชในดินก็ทำให้ดินเป็นรอยที่สร้างแหล่งอาศัยให้กับฝูงแมลง (ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้ดินร่วนชุ่ย ทำให้อากาศผ่านเข้าออกในดินได้ดี และเป็นตัวย่อยสลายเศษอินทรียวัตถุ) ฝูงนก หนู และสัตวป่าชนิดอื่นๆ (ซึ่งเป็นตัวที่นำเอาเมล็ดพืชพรรณมาจากที่ไกลๆ) และเป็นตัวผลิตแหล่งปุ๋ยชีวมวล อย่าง (เศษซากต้นไม้ เศษใบไม้ กิ่งไม้หล่นลงบนดินและเน่าเปื่อยไปเอง และทำให้ดินอุดมสมบูรญ์ยิ่งขึ้น) เมื่อดินมีคุณภาพมากพอ พันธุ์พืชในระยะต่อไปก็จะเกิดขึ้นมา ได้แก่ ไม้ยืนต้นที่มีขนาดใหญ่กว่า ซึ่งบางส่วนก็จะเป็นต้นที่จะเป็นชั้นเรือดยอดของผืนป่าที่กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าไป กระบวนการนี้เรียกว่า การเปลี่ยนแปลงแบบเข้าแทนที่กันทางระบบนิเวศ (ecological succession)
เกษตรกรรมเพาะปลูกธัญพืชจำพวกข้าวโดยทั่วไปควบคุมกระบวนดังกล่าวอย่าเคร่งครัดไว้ตลอดทุกปี ด้วยการไถพลิกดินและทำให้กระบวนการแปลี่ยนแปลงตามระบบธรรมชาติเป็นศูนย์ไปเลย ข้าวคือหญ้าอายุสั้น (เช่นเดียวกับข้าวโพด) ซึ่งต้องการมีระยะการเปลี่ยนแปลงทางระบบนิเวศในช่วงแรกๆ เพื่อได้เติบโตสืบพันธุ์และจะไม่โตไปมากกว่านั้นในช่วงระยะที่มีพันธุ์ไม้ใหญ่กว่า ซึ่งมีร่มเงามากกว่าและแย่งชิงที่อยู่กัน

ในสภาพภูมิอากาศเขตร้อนของเรา (tropical climate) และการมีปริมาณน้ำฝนที่เพียงพออยู่แล้ว ธรรมชาติมุ่งมั่นที่จะสร้าง ผืนป่า นี่คือสิ่งที่ธรรมชาติต้องการ และนี่ก็คือสิ่งที่เราควรจะทำด้วยเช่นกัน ถ้าเราได้ช่วยเหลือธรรมชาติในกระบวนการนี้ เราก็จะมีผู้ช่วยสำคัญที่ทำงานขั้นพื้นฐานในด้านแหล่งอาหารของตน “เอะ แต่เรากินต้นไม้ไม่ได้นิ” คุณอาจจะคัดค้านมา และมันก็จริงอยู่ กล่าวคือ เราไม่ได้คิดว่ามันจะมีแค่ป่า แต่มันคือ สวนป่าอาหาร Food Jungle ซึ่งมีพืชพรรณทุกชนิด ได้แก่ ต้นไม้ใหญ่บนชั้นเรือนยอดของป่า พันธุ์ไม้ป่าชั้นที่สอง ไม้พุ่ม พันธุ์ไม้ตระกูลปาล์ม ไม้ไผ่ ไม้เลื้อยไม้เถา พืชสมุนไพร พืชกินหัว ซึ่งทั้ง ดูเหมือน และ ใช้งาน คล้ายกันกับผืนป่า ขณะเดียวกันในสวนป่าอาหารก็จะอัดแน่นไปด้วยพืชพรรณป่าหลากหลายชนิด และพืชปลูกที่กินได้ (ดูภาพที่ Fig.1.2) ในการที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางระบบนิเวศขึ้นได้ในระยะยาวร่วมกับการเพาะปลูกอาหารในประเทศเขตร้อน สิ่งที่ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดก็คือ การเลียนแบบป่าฝน (Rainforest) หรือ ผืนป่าหนาทึบในเขตร้อนซึ่งมีฝนตกชุกมาก
เราสามารถเข้าช่วยการเปลี่ยนแปลงทางระบบนิเวศได้ และช่วยเร่งให้กระบวนการนี้ได้ฟื้นคืนสู่สภาพเดิมได้เร็วขึ้นจากผลของการทำเกษตรกรรมแบบทั่วไป หรือ conventional agriculture ด้วยการทำให้เกิดระบบนิเวศที่มั่นคงและมีแหล่งอาหารที่หลากหลายให้กินกันตลอดทั้งปี

ตามที่เราได้กล่าวถึงไปแล้ว (ดูในตอนบทนำ) สภาวะอากาศเปลี่ยนรุนแรงสุดขั้ว เช่น ภัยน้ำท่วม ภัยแห้งแล้ง และภัยพายุกระหน่ำ ถูกกำหนดไว้อย่างตายตัวแล้วว่าจะเพิ่มสูงขึ้นนับจากนี้เป็นต้นไป และปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นแบบดังกล่าวจะทำลายเกษตรกรรมเชิงเดี่ยวต่างๆ หรือ monocultures ไปได้ง่ายๆ พืชชนิดแรกที่จะโดนหนักสุด และได้ผลผลิตลดน้อยลงจะเป็นพืชเกษตรจำพวกข้าว และปกติแล้วก็จะเป็นพืชทุกอย่างที่เพาะปลูกด้วยวิธีการเชิงเดี่ยว การปลูกพืชชนิดเดียว หรือ Monocropping ไม่มีความยั่งยืนเลยในเขตประเทศร้อนชื้น (และยิ่งถ้าไม่มีเครื่องจักรที่ใช้ทางเกษตรเข้าช่วย) แต่ผลลัพธ์ของมันกลับเป็นความหายนะอย่างรุนแรงในประเทศเขตร้อน การทำเกษตรกรรมเชิงเดี่ยวด้วยการใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ทำให้พื้นดินในเขตร้อนชื้นเสี่ยงต่อภัยพิบัติชั้นดินถูกกัดเซาะในช่วงฤดูฝน และทำลายสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในฤดูร้อน พื้นดินจะต้องถูกปกคลุมไว้เสมอ และป้องกันการโดนแสงแดดโดยตรง เช่นเดียวกันกับในผืนป่า มิเช่นนั้นมันก็จะสูญเสียดินดีและเอากลับคืนมาไม่ได้อีก จากการถูกซะล้างชั้นดินไปกับพายุฝนกระหน่ำ และทั้งรังสียูวีและแสงแดดจัดๆ ก็คร่าทุกสิ่งมีชีวิต (อย่าง เชื้อรา mycorrhizal fungi ไส้เดือน แมลงปีกแข็ง จุลินทรีย์ขนาดเล็ก แบคทีเรีย) ที่อยู่ในดินชั้นบน John Gowdy เขียนในบทวิจัยที่เราได้อ้างถึงในตอนบทนำไว้ดังนี้:
อุณหภูมิโลกที่กำลังเพิ่มขึ้นจะสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะธัญพืชจำพวกข้าวที่เสี่ยงต่อระดับอุณหภูมิเปลี่ยนผลันสุดขั้ว แหล่งพลังงานที่มนุษย์บริโภคกันถูกกำหนดค่าประมาณไว้ที่ 60 เปอร์เซนต์ ล้วนมาจากธัญพืชเพียงสามกลุ่ม ได้แก่ ข้าวสาลี ข้าวโพด และข้าว
ตราบใดที่เรายังต้องพึ่งพาพืชทั้งสามชนิดไว้หล่อเลี้ยงพวกเราอย่างหนักหน่วง หากเกิดมีผลผลติลดน้อยลงเมื่อใดก็ตาม ก็จะมีผลลัพธ์ขั้นรุนแรงตามมา ลองคิดจินตนาการดูว่า ถ้าเรามีระบบอาหารที่ไม่ใช่มีเพียงแค่พืชสามชนิดที่กล่าวไป แต่มีระบบอาหารที่มีพืชเป็นอีกสิบชนิด (หรือมากกว่านั้นอีก) และทั้งหมดนั้นไม่ใช่พืชจำพวกข้าวเลย ถึงแม้ว่าเราจะได้รับผลผลิตน้อยลง เช่น หากเป็นผลผลิตของพืชทั้งสามชนิดนั้น แต่มันก็จะยังมีพืชอีกเป็นเจ็ดชนิดมาใช้ทดแทนพืชที่สูญสียไปได้เหมือนเดิม
ถ้าหากทุ่งนาข้าวเกิดน้ำท่วมเป็นเวลานานๆ ฤดูเก็บเกี่ยวก็มีแต่จะเป็นศูนย์ และไม่ได้อาหารอะไรเลยจากแปลงตรงนั้น (และก็เป็นเหมือนกันถ้าเจอสภาพแห้งแล้งหรือพายุหนัก) ภาวะอดอยากเป็นผลที่เกิดในระดับภูมิภาคของรัฐแรกๆ ยุคก่อน ซึ่งก็พึ่งพาพืชจำพวกข้าวอย่างหนักเป็นแหล่งอาหารหลัก แต่ความหลากหลายและระบบนิเวศในลักษณะที่เป็นผืนป่าอาหารหลายชั้น กลับยังคงสามารถทนทานต่อภัยน้ำท่วมหลายวัน ภัยแห้งแล้งเป็นเดือน และพายุรุนแรงต่างๆ และแน่นอนว่าก็จะมีพืชบางส่วนจะโดนผลกระทบจากภัยต่างๆ และมีบางส่วนที่ตายไปบ้าง แต่จะยังมีอีกส่วนที่เหลือรอดพ้นไปได้ (และเจริบเติบโตต่อไป)
ตามหลักการโดยทั่วไป การปลูกพืชพันธุ์ไม้ (tree crops) จะมีความปลอดภัยคงทนมากกว่า การปลูกหญ้าอายุสั้น อย่าง ข้าว ดังนี้:
- ต้นไม้มีรากลึกกว่า และจึงเข้าถึงน้ำที่อยู่ลึกกว่าในดินได้
- ต้นไม้ไม่โค่นล้มง่ายนัก ในช่วงมีมีพายุเข้า (โดยเฉพาะถ้าต้นไม้ถูกยึกเกาะไว้ด้วยระบบรากอันแน่นหนาของรากไม้ต้นอื่นที่อยู่ใกล้ๆกัน)
- ต้นไม้จะยังคงอยู่เหนือน้ำในกรณีเกิดน้ำท่วม
- ใช้แรงงานค่อนข้างน้อยสำหรับการปลูก ดูแล และเก็บเกี่ยว (เมื่อเปรียบเทียบกับปลูกข้าว)
- เพิ่มผลผลิตอย่างมั่นคงเป็นหลายปี โดยไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำงานเพิ่มเติมไปในตัว (นอกจากเรื่องการนำไปประกอบอาหาร)
- ต้นไม้กักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศไว้ในต้นได้ในปริมาณมากกว่า (ขอบอกเป็นนัยว่า มันคือแนวทางรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ)
- ต้นไม้ให้ร่มเงาและจึงทำให้มีสภาพอากาศเฉพาะพื้นที่เย็นกว่า
- ต้นไม้ทำให้เมฆก่อตัวกันอย่างเต็มที่ผ่านกระบวนการคายระเหยเป็นไอน้ำ และจึงช่วยทำให้มีฝนตกทั่วพื้นที่ไกลจากชายฝั่ง
- ต้นไม้เป็นแหล่งอาหารและเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์อื่นที่ไม่ใช่มนุษย์ได้อีกมากมายหลายสายพันธุ์
- ต้นไม้เป็นแหล่งหลักของวัสดุใช้สอยประโยชน์ด้านอื่นและผลิตภัณฑ์ต่างๆ (เช่น ใช้ทำฟืน ยางไม้ น้ำยางไม้ น้ำมัน เปลือก เส้นใยไม้ ใช้เป็นยาสมุนไพร ใช้เลี้ยงสัตว์ เป็นแหล่งชีวมวล และท้ายที่สุดก็ใช้สอยเป็นไม้ซุง)
ฉะนั้น การลดการพึ่งพาเพียงข้าวเป็นหลัก และลดการพึ่งพาพืชเศรษฐกิจอื่นๆลงอย่างรุนแรง จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำอย่างยิ่ง เพื่อจะยังมีอาหารกินกันสำหรับผู้คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ (และในภูมิภาคอื่นๆด้วยที่มีสภาพอากาศคล้ายคลึงกัน) และใช้วิธีการสร้างความหลากหลายของแหล่งอาหารหลัก ที่ประกอบขึ้นด้วย พืชพันธุ์ไม้ (tree crops) (หรือพืชเศรษฐที่เติบโตได้ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นป่า กล่าวคือ ต่อจากนี้ไปเราจะอ้างถึงประเด็นเหล่านี้เป็นแบบ พืชที่โตได้ในสภาพป่า forest crops) ซึ่งทำการเพาะปลูกได้ง่ายๆ ให้ผลผลิตสูง เป็นพืชอายุยืนหลายปี มีความยืดหยุ่นต่อสภาพอากาศรุนแรงสุดขั้ว อุดมไปด้วยสารอาหาร ให้คุณค่าทางพลังงานสูง ใช้ประกอบอาหารกิน หรือ เก็บไว้กินได้ง่าย และเป็นอาหารทางเลือกที่กินได้อย่างเอร็ดอร่อย
เพื่อความชัดเจนตรงกัน เราไม่ได้ต้องการให้คุณหยุดรับประทานข้าวแต่อย่างใด เราเพียงแต่แนะนำว่ามันมีความปลอดภัยสูงกว่าในระยะยาว ถ้าหากสามารถ ลดการพึ่งพาอาหารประเภทข้าวเป็นลงไปได้ทีละน้อยๆ และแทนที่มันด้วยการปลูก พืชที่โตได้ในภาพป่า หรือ forest crops การพึ่งพาอาหารประเภทข้าวอย่างหนักในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือผลลัพธ์จากการบังคับขู่เข็นของรัฐและจากทางวัฒนธรรมในอดีต (และตอนนี้ก็ล้าสมัยไปแล้ว) ซึ่งไม่มุ่งทำหน้าที่อย่างระมัดระวัง กับเรื่องผลผลิตต่อปี หรือระหว่าง อัตราการให้พลังงาน กับ พลังงานที่ได้รับมา หรือแม้แต่จะเทียบดูกับ เรื่องอัตราส่วนในปริมาณของสารอาหาร เรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ เรื่องความยั่งยืน หรือเรื่องความยืดหยุ่น
แล้วเราจะกินอะไรถ้าไม่กินข้าว? มีคำตอบแสนเรียบง่ายให้ แต่ก่อนอื่นเลยคุณจะต้องโยนทิ้งความมีอคติลึกๆในใจจากอาหารประเภทข้าวไป ที่มันทำให้เราอยากกินข้าวอีก และก็กินข้าวเป็นอาหารหลักของทุกมื้อๆ คือที่จริงข้าวก็อยู่ในวัฒนธรรมอาหารทั้งหมดของเรานี่เอง เหตุผลที่ข้าวคืออาหารหลักทุกวันนี้ก็คือผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่ทางการทำอาหารกิน ข้าวไม่ได้ทำให้คุณ “อิ่มท้องมากกว่า” อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตสูงชนิดอื่นๆเลย และมันก็ไม่ได้อุดมไปด้วยสารอาหารพิเศษเมื่อเทียบกับอาหารประเภทอื่น นอกจากนี้แล้ว การเพาะปลูกข้าวจำเป็นต้องทำงานมากยิ่งกว่าเพาะปลูกพืชอาหารหลักประเภทอื่นอีกด้วย ทั้งหมดนี้คุณอาจจะปฏิเสธคำถามไปว่า: แล้วทำไมคนถึงเริ่มกินแค่ข้าวนะ? คำตอบนี้อาจจะทำให้คุณตกใจ: ก็ใช้ข้าวจ่ายเป็นภาษีไงล่ะ ในอดีต ข้าวถูกเก็บเป็นภาษี เนื่องจากข้าวจะแก่พอเกี่ยวได้พร้อมๆกัน และจึงเข้าไปเก็บภาษีได้ง่ายๆก่อนฤดูเก็บเกี่ยว: เจ้าหน้าที่เก็บภาษีก็ไปแวะเวียนหมู่บ้านไหนก็ได้ในช่วงระยะเวลาใดของการเก็บเกี่ยวข้าว และคิดประเมิณค่าว่าต้องเก็บข้าวประมาณเท่าไหร่ และจะต้องเก็บเกี่ยวตอนไหน ยิ่งไปกว่านั้น ข้าวสามารถจัดแบ่ง กักเก็บ และขนส่ง ได้อย่าง่ายดาย และข้าวก็เป็นอาหารให้กองทหารประจำการ ซึ่งกินอิ่มสำราญจากข้าวส่วนที่เหลือเก็บไว้ ที่พวกเขาเอาไปด้วยเวลาเดินทางศึกทหาร นี่คือเหตุผลว่าทำไมรัฐแรกเริ่มของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงเป็นที่รู้จักกันในนาม “รัฐที่ปลูกข้าว หรือ grain states” เจ้าหน้าที่เก็บภาษีทั้งสนับสุนส่งเสริม และแม้แต่ผลักดันการปลูกข้าวเพื่อเหตุผลที่กล่าวไปด้านบน และจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมยุคก่อนไม่เคยเป็น “รัฐที่ปลูกมันสำปะหลัง” หรือ “รัฐที่ปลูกขนุนสาเก”
ต้นสาเก หรือ Breadfruit (ดูตอนที่ 2) เน่าเสียได้ง่ายๆ จึงเก็บไว้ หรือขนส่งทางไกลไม่ค่อยได้ มันจึงเป็นผลไม้ที่ไม่นิยม เพราะคาดเดาไม่ได้ว่าจะสุกให้เก็บตอนไหน มันสำปะหลัง (ดูตอนที่ 3) ซึ่งเน่าเสียได้ง่ายๆเช่นเดียวกัน และยังสามารถปลูกหรือเก็บเกี่ยวตอนไหนก็ได้ในปีนั้น ไม่มีฤดูเก็บเกี่ยวที่แน่นอน (แต่แค่ไปขุดเอาตอนที่อยากกิน) หลบซ่อนจ่ายภาษีจากมันสำปะหลังได้แสนง่ายโดยเพียงสับลำต้นส่วนบนดินทิ้งออก และในดินก็ยังมีหัวมันให้ขุดกิน เรื่องนี้เจ้าหน้าที่เก็บภาษีคงไม่พอใจเลย! เจมส์ ซี. สก็อตต์ หรือ James C. Scott ผู้ที่ได้เขียนประเด็นนี้ไว้อย่างครอบคลุมในหนังสือของเขาที่ชื่อว่า The Art of Not Being Governed – An Anarchist History of Upland Southeast Asia ได้ยกตัวอย่างหนึ่งไว้ดังนี้:
การยกมอบที่ดินให้กับประชาชน ในราวศตวรรษที่ 9 และ 10 ของอาณาจักรชวา ตามหลักฐานจารึกทางประวัติศาสตร์ ซึ่งกำหนดไว้บนความเข้าใจตรงกันที่ว่า ผู้ที่ได้รับสิทธิใช้ที่ดิน จะต้องตัดป่าและปรับเปลี่ยนเป็นแหล่งเพาะปลูก ทำแปลงที่ตัดป่าออกและเผาทิ้ง ไปทำเป็นแปลงไร่นาปลูกข้าวที่ต้องใช้ระบบทดน้ำอย่างถาวร (นาข้าว sawah) ตามหลักการของนักเขียนชื่อว่า Jan Wisseman Christie ได้บันทึกไว้ก็คือ “sawah…นาข้าวส่งผลให้ประชาชนมีข้อผูกมัดให้อยู่ที่เดิม และเพิ่มจำนวนแปลงนาข้าวทั้งกว้างและไกลออกไป และทำให้ได้รับผลผลิตที่ค่อนข้างคงที่และคิดคำนวนผลเก็บเกี่ยวได้ง่าย”
ตามความจริงแล้ว รัฐในยุคแรกๆ ต่างก็ใช้มาตรการที่ทำให้คนเปื้อนมลทิน ว่าเป็นพวกอนารยชน เป็นพวกล้าหลังป่าเถื่อน ถ้าทำการปลูกมันสำปะหลัง มันหวาน ข้าวโพด และปลูกหัวมันป่า และถ้าปลูกข้าวจะไร้มลทิน เป็นชนเมืองผู้มีอารยะ อตคิดังกล่าวยังใช้กันอยู่จนถึงทุกวันนี้ และการกินหัวมันสำปะหลังแทนข้าวยังคงถูกพิจารณาว่าเป็นสัญลักษณ์ของความยากจน และด้อยสถานะทางสังคม (ถ้ายังมีคนปลูกมันกินแทนข้าวอยู่!) ตามพื้นที่โดยส่วนใหญ่ของประเทศไทย
สก็อตต์ กล่าวอีกครั้ง:
สำหรับภูมิภาคที่ปลูกข้าว [ไร่นาข้าว] ไม่ว่าจะเป็นยุคก่อนถูกยึดครองหรือยุคถูกยึดครองเมืองก็ตาม ด้วยการเข้าถึงได้อย่างง่ายดายและด้วยการใช้แรงงานเพียงน้อยนิดในการปลูกพืชเพื่อยังชีพ แม้ว่าจะเป็นอาหารล้ำค้าในช่วงอดอยาก กลับเป็นภัยคุกคามต่อการสร้างรัฐ เพราะการปลูกข้าวให้ได้มากที่สุดคือแรงจูงใจสูงสุดของรัฐ หรือผลผลิตข้าวล้มเหลว ก็ยังมีพืชเศรษฐกิจสำคัญอื่นๆ อย่าง พืชเศรษฐกิจส่งออก เช่น ฝ้าย สีย้อมผ้า อ้อย ยางพารา ซึ่งมักต้องใช้แรงงานเยี่ยงทาส [รัฐที่ปลูกข้าว] เจ้าหน้าที่ของรัฐประณามไว้ว่า คนที่ปลูกมันสำปะหลังและข้าวโพด เป็นคนท้องถิ่นที่ขี้เกียจ และเป็นพวกที่มุ่งหลีกเลี่ยงการทำงาน
จุดนี้ สก็อตต์ ได้ชี้บอกเป็นนัยถึงบางสิ่งที่สำคัญมากๆ กล่าวคือ พืชที่โตในสภาพป่าได้ หรือ forest crops มักจะถูกเรียกว่าเป็นอาหาร “สำหรับคนอดอยาก หรือ famine foods” ซึ่งมันก็เป็นอาหารที่คุณกินได้เมื่อเก็บเกี่ยวข้าวไม่ได้ ถ้าหากมีความแปรปรวนทางสภาพอากาศ (เหมือนตามที่เราประสบจากสภาวะโลกร้อน) พืชป่าดังกล่าวไปจะยังออกผลให้เก็บกิน ดังนั้น มันจึงมีเหตุผลที่ต้องพึ่งพาพืชป่าเหล่านั้นด้วย ในขณะที่สภาพอากาศก็เอาแน่เอานอนไม่ได้มากยิ่งขึ้น และเนื่องจากว่าทุกวันนี้คงไม่มีใครต้องให้ข้าวแทนการจ่ายภาษีอีกแล้ว นั่นจึงไม่มีเหตุผลใดๆที่ต้องพึ่งพาแค่พืชเฉพาะจำพวกข้าวทั้งหมดเพื่อหล่อเลี้ยงตัวเรา
เราทำมุกตลกๆกันอยู่เสมอว่า ผู้คนคงจะอดอยากไม่ได้เลยในแถบประเทศเขตร้อน ตราบใดที่คุณยังมีทักษะพื้นฐานของการออกหาอาหารอยู่ เนื่องจากแหล่งอาหารมีอยู่ทุกที่ ร่วมกับต้องมีความพยายามสักหน่อย เราก็สามารถที่จะมีแหล่งอาหารที่มั่งคงให้กินได้ทั้งปี ซึ่งก็เพาะปลูกไว้ข้างๆบ้านของเราได้เลย ถ้าเราอยากรู้ว่าผู้คนจะอยู่รอดกันได้อย่างไรหากไม่ทำนาปลูกข้าว เราก็แค่ต้องมองไปยัง สังคมชนพืนเมืองทั้งหลายว่าพวกเขากินอะไรกันในภูมิภาคนี้ ชนเผ่าดั้งเดิม หรือ กลุ่มชนผู้ที่อาศัยอยู่ก่อนยุคทำเกษตรกรรมของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กินอาหารอย่างหลากหลายมากๆ ซึ่งเปรียบเทียบได้กับ ชนเผ่าชาวเขาหลายกลุ่มในยุคใหม่ (modern-day hilltribes) และชนล่าสัตว์และเก็บของป่า (hunter-gatherers) วิถียังชีพเช่นนี้ทำให้มีทั้งความสมบูรณ์แข็งแรงมากกว่า และใช้แรงทำงานน้อยกว่า ดังนั้น เราจึงสามารถเรียนรู้ถึงบทเรียนสำคัญๆบางส่วนจากพวกเขาได้
เราต้องบอกไว้อย่างชัดเจนว่า เราไม่ได้แนะนำให้ทุกคนหันกลับมาดำรงชีวิตอยู่ในแบบชนล่าสัตว์และเก็บของป่า หรือโยกย้านถิ่นไปอยู่บนภูเขา! พื้นที่ทำกินส่วนใหญ่เหลือน้อยมากกว่าแต่ก่อนที่เคยมีอยู่ทั่วไปในภูมิภาค และด้วยจำนวนประชากรมนุษย์ที่มากจนเกินไป รวมถึงการมีผืนป่าอุดมสมบูรณ์เหลืออยู่น้อยเกินไปที่จะรองรับได้ แม้กระทั่งกับจำนวนคนน้อยๆที่จะททอยอพยพหนีออกจากเมืองไปเรื่อยๆ และหันมาใช้ชีวิตในแบบชนล่าสัตว์และเก็บของป่า ก็ยังมีพื้นที่ไม่พอ สิ่งที่เราแนะนำก็คือ เราเพียงแค่ไปสำรวจดูว่า ทำไมวิถีชีวิตของชนพื้นเมืองถึงใช้งานได้ (และยังใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง) วิถีชีวิตเช่นนี้จะใช้งานได้แม้แต่กับในยามที่สภาพอากาศแปรปรวนไม่มั่นคง และขณะเดียวกัน ในภูมิภาคที่ปลูกเพียงข้าว มันกลับส่งผลให้เกิดภาวะอดอยากตามมา การล่าสัตว์และเก็บของป่า (hunting and gathering) รวมถึงกลุ่มชนที่ทำไร่หมุนเวียน (shifting cultivators) จำเป็นต้องมีที่ดินทำกินจำนวนมากเพื่อฝึกปฏิบัติวิถีการเลี้ยงชีพของตน แต่มันก็สามารถกระทำได้โดยง่ายกับการเน้นปลูกตามสายพันธุ์พืชที่พวกเขาปลูกกินกันในสวนป่าที่ค่อนข้างหนาแน่นไปด้วยพืชหลายชนิด และทำร่วมด้วยกับวิธีการอย่างถูกต้อง (เช่น การทำเกษตรกรรมถาวร หรือ Permaculture ) สวนป่าอาหาร Food Jungles ของพวกเขาก็เจริญเติบโตเป็นอย่างดี และให้ผลผลิตสูงยิ่งขึ้น ตามที่พืชพรรณเติบโตเต็มที่และเปลี่ยนผ่านไปเข้าสู่ช่วงระยะต่างๆของ การเปลี่ยนเปลงทางระบบนิเวศ ecological succession
ตอนที่เราพูดคุยถึงว่า ภูมิปัญญาของชนพื้นเมืองได้สร้างให้แรงบันดาลใจแก่เราอย่างไรนั้น มันคงจะชัดเจนยิ่งขึ้นด้วยการยกตัวอย่างให้ดู นักเขียนชื่อ Charles M. Peters ซึ่งเป็นศาสตรจารย์ของสาขานิเวศวิทยาในเขตร้อนชื้น ในหลักสูตร Yale School of Forestry and Environmental Studies เขียนไว้ในหนังสือของเขาเล่มที่ชื่อว่า Managing the Wild ดังนี้:
ชาว Kenya [ชนพื้นเมือง ชนปลูกพืชสวน (ชนทำไร่เลื่อนลอย หรือ swiddening) เป็นกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในประเทศมาเลเซีย] เป็นกลุ่มชนที่เพาะปลูกดูแลพืชพรรณไว้เป็นจำนวน 125 สายพันธุ์ต่อหนึ่งเฮกตาร์ในสวนป่าผลไม้ (หรือประมาณ 6 ไร่กับอีก 1 งาน) นี่คือความสำเร็จที่เหนือชั้นยิ่งกว่า อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในระบบการปลูกพืชควบคุม หรือ silvicultural ในความความคิดเห็นของตนแล้ว ยึดจากสิ่งที่ได้พบเห็นมา สิ่งที่ตนได้ศึกษาเรียนรู้มา และที่ได้ประเมินค่าประมาณไว้เป็นเวลากว่า 30 ปีนั้น กลุ่มชาวบ้านเหล่านี้คือผู้เชี่ยวชาญด้านป่าไม้ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในโลก
ในอีกบทตอนหนึ่งเขาได้เขียนเกี่ยวกับชาวไดยัก Dayak (ชนพื้นเมืองอีกกลุ่มหนึ่งของประมาเลเซีย) เขาพูดเกี่ยวกับว่า เขาไปเยี่ยมชมป่าไม้ด้านหลังบ้านของชายแก่ชาวไดยักมา และพึ่งได้ค้นพบว่าจุดที่เขาพาเดินเข้าไปดูนั้นเป็นพื้นที่ที่สวยงามเป็นอย่างมาก ดูเหมือนเป็นส่วนป่าผสมในแบบป่าเบญจพรรณหรือป่าเต็งรัง (mixed Dipterocarp forest) ซึ่งจริงๆแล้วมันกลับเป็นสวนป่าผลไม้ ที่ถูกจัดการดูแลมาเป็นเวลาหลายร้อยปี (ถ้าไม่นานกว่านั้นอีก) โดยชุมชนพื้นเมืองชาวไดยัก (local Dayak community) เขาเขียนว่า:
ผืนป่าดูค่อนข้างเปิดกว้าง และยังเป็นป่าหลายชั้นอีกด้วย มีต้นปาล์ม และมีไม้เลื้อยจำนวนมากมาย มีพันธุ์ไม้ป่าต้นสูงๆหลายต่อหลายต้น ซึ่งทำรากพูพอนอย่างคับคั่ง (รากไม้ที่เลื้อยแผ่ขยายไปบนดินเป็นบริเวณกว้าง) และมีเส้นผ่าศูนย์กลางของต้นลำต้นใหญ่ๆเป็นเมตรก็มี เขาพาฉันไปดู ต้นมะม่วงเป็น 5 สายพันธุ์ ต้นสาแก 7 สายพันธุ์ ต้นเงาะ 6 สายพันธุ์ ต้นหวายอีก 11 สายพันธุ์ และพาไปดูรังผึ้งอีก 3 รัง ฉันนับต้นทุเรียนต้นใหญ่ๆได้ทั้งหมดอีกตั้ง 46 ต้น! นับต้นตาล ผลไม้ตระกูลปาล์มได้อีก 16 ต้น และนับต้นไม้ชั้นเรือนยอดของป่าได้อีกหลายต้นที่ผลิตน้ำยางสีขาว หรือที่นำไปใช้ประโยชน์เพื่ออุดรูรั่วซึมได้
นี่คือสื่งที่เราหมายถึงตอนที่เราใช้คำว่า สวนป่าอาหาร Food Jungle!
ทั้งหมดที่เราได้เรียนรู้มาจากทำเกษตรด้วยวิถีทางธรรมชาติได้มอบอะไรให้กับเราไว้บ้างนั้น และทำไมวิธีการปลูกไม้ผลและพันธุ์ไม้ป่า รวมถึงการปลูกพืชพรรณป่าต่างๆ ถึงเป็นวิธีการที่ดีกว่า และปลอดภัยยิ่งกว่าและกระทำได้ง่ายกว่า เมื่อเทียบกับการปลูกข้าว แต่คำถามก็ยังคงค้างคาอยู่ว่า: แล้วเราจะทำการ ปลูกสวนป่าอาหาร กันอย่างไร และต้องพิจาณาถึงหลักการสำคัญๆใดบ้างล่ะ?
ตอนนี้มันคงชัดเจนแล้วว่า ภาพลักษณ์ของ สวนป่าอาหาร จะดูแตกต่างไปจากสวนผลไม้เชิงเศรษฐกิจ ที่มีวิธีการเพาะปลูกแบบเป็นแถวเป็นแนว ซึ่งถูกแนะนำโดยบรรดานักคำนวณมากกว่า แทนที่จะเป็นไปตามความต้องการของพืชพรรณเอง และวิธีการนี้ต้องใช้เครื่องจักรเครื่องยนต์เข้ามาช่วย และแน่นอนว่าคงใช้แรงงานคนน้อยลงในพื้นที่เพาะปลูกขนาดใหญ่กว่า แต่เทคนิคที่ถูกนำมาใช้นี้เอง (เช่น ต้องพึ่งพาระบบท่อส่งรดน้ำอย่างหนัก) มันกลับเป็นเทคนิคที่ไม่ยั่งยืนเลยในท้ายที่สุด และก็จะไร้ประสิทธิภาพอย่างมาก ตอนที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไป ความจริงที่ว่า ในขณะที่การปลูกสวนผลไม้เชิงเศรษฐกิจสามารถ “ดูแลจัดการได้ง่าย” แต่ตามความเป็นจริงแล้วมันกลับไม่ยั่งยืนอย่างสุดขีด (ด้วยเหตุผลหลักๆ ได้แก่ ชั้นดินถูกกัดเซาะ ดินเสื่อมสภาพ พื้นดินมีสารพิษตกค้างเป็นบริเวณกว้าง และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ) และยังด้อยประสิทธิภาพในด้านปริมาณผลผลิตที่ได้รับจริงๆอีกด้วย (สวนเกษตรแบบนี้ให้ผลผลิตเพียงครั้งเดียวในเวลาหนึ่งปี และมีจำนวนสารอาหารที่จำกัด) เราจะอธิบายถึงจุดแตกต่างบางอย่างระหว่าง การปลูกสวนผลไม้เชิงเศรษฐกิจ เช่น สวนทุเรียน และ สวนป่าอาหาร ให้ดู
ความแตกต่างอย่างหนึ่งที่ชัดเจนมากที่สุดเลย ระหว่างการเพาะปลูกทางเกษตรกรรมทั่วไป และในแบบที่เป็นสวนป่าก็คือ ความหลากหลาย หรือ diversity
เรื่องความหลากหลาย (Diversity) คือหัวใจสำคัญของหลักการซึ่งเราจะกล่าวย้ำซ้ำไปมาอยู่ตลอดทั้งบทความชุดนี้ ความหลากหลายหมายถึง ความมั่นคง และเพียงแค่ลงทุนหลายอย่างรวมกัน (ถ้าคุณชอบลงทุน) มันก็ปลอดภัยกว่าที่จะใช้เงินเก็บทั้งหมดไปลงทุนกับอย่างเดียว เช่นลงทุนกับ Bitcoin (บิตคอยน์) การปลูกต้นไม้ต่างๆให้เกิดชุมชนของพืชพรรณที่หลากหลาย เป็นวิธีการที่ปลอดภัยมากกว่าที่จะปลูกเพียงแค่ต้นทุเรียนพันธุ์หมอนทองชนิดเดียว ความหลากหลาย (ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปถึงความความซับซ้อนของมัน) คือเป้าหมายสุดท้ายของเรื่องทางวิวัตฒนาการเอง และมันคือสาเหตุหลักที่ว่าทำไมชีวิตทั้งหลายได้ประสบความสำเร็จมาเป็นเวลาหลายพันล้านปีบนโลกนี้ การทำให้เกิดความหลากหลาย หมายถึง การทำงานของธรรมชาติ!
ถ้าคุณปลูกพืชอยู่เพียงชนิดเดียว พืชนั้นก็จะกินแต่สารอาหารกลุ่มนั้น ซึ่งมันก็จะหายไปจากดินอย่างรวดเร็ว เหตุนี้ก็ส่งผลให้เกิดความจำเป็นที่ต้องใส่ปุ๋ยสังเรคราะห์ ถ้าคุณปลูกพืชหลากหลายสายพัธุ์รวมกัน ความต้องการสารอาหารที่จำเป็นก็จะสมดุลกันมากกว่า เนื่องจากพืชบางสายพันธุ์ก็ส่งต่อสารอาหารที่ต้นพืชอื่นต้องการได้ เช่น พืชบางชนิดจะต้องการธาตุไนโตเจนมากกว่า ในขณะที่ต้นอื่น เช่น ต้นพืชตระกูลถั่วที่สามารถตรึงธาตุไนโตเจนในอากาศลงไว้ในดินและทำให้ต้นพืชอื่นๆนำเอาไปใช้ในรูปของสารอาหารได้

ความแตกต่างอีกอย่างหนึ่งระหว่างการปลูกพืชเป็นไร่สวน และการปลูกเป็นสวนป่าก็คือ ความหนาแน่นของต้นไม้ (ดูที่ภาพ Fig.1.3) ฝั่งซ้ายมือ ต้นพืชสูงเท่าๆ กัน ต้นพืชถูกปลูกห่างกันเป็นแนว และไม่มีอะไรโตกั้นระหว่างช่องว่างนั้น หญ้าวัชพืชต่างๆ และเหล่าไม้พุ่มที่อยากจะเกิดระหว่างกันกับต้นพืชที่ปลูกเป็นหลัก กลับถูกกำจัดฆ่าไปอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่จากการตัดหญ้าเป็นประจำก็จากการใช้ยาเคมีพิษสูงกำจัดวัชพืช พื้นดินโล่งเปล่าที่อยู่ระหว่างต้นพืชก็แห้งกร้านไปอย่างรวดเร็วจากโดนแสงแดด จึงจำเป็นต้องรดน้ำ ต้นไม้โค่นล้มได้ง่ายๆในช่วงที่มีพายุ เนื่องจากรากของต้นพืชเหล่านั้นไม่ได้ยึดจับประสานกันไว้มากพอเพื่อที่จะยึดดึงรากของต้นพืชให้อยู่แน่นไว้ด้วยกันในดิน พอไม่มีเศษไม้ กิ่งไม้ เศษใบไม้ของต้นพืชอื่นๆใส่เพิ่มลงไปในดิน ดังนั้น จึงจำเป็นต้องใส่ปุ๋ยเม็ด ในแปลงเพาะปลูกแบบนี้จะมีฝูงนก ฝูงแมลง และสัตว์ป่าชนิดอื่นๆในจำนวนน้อย วิธีการเพาะปลูกพืชเชิงเดี่ยวเช่นนี้ (จะไม่ใส่ปุ๋ยธรรมชาติในรูปของปุ๋ยคอกและจากมูลสัตว์เพิ่มเข้าไป) จึงทำให้มีการผสมเกสรลดลง และส่งผลให้ระบบนิเวศขาดความสมดุลกัน และจึงเกิดการติดเชื้อหนอนพยาธิของแมลงบางชนิดที่กัดกินพืชนั้นๆเป็นอาหารโดยเฉพาะ (ซึ่งก็เป็นตัวที่ไม่ถูกกินจากสัตว์นักล่าตัวอื่น)

การปลูกพืชหลายสายพันธุ์อยู่รวมกันอย่างหนาแน่นจะสร้างระบบนิเวศที่มั่นคงและมีความยืดหยุ่นได้มากยิ่งกว่า พื้นดินทั้งหมดถูกปลกคลุมไว้ด้วยพืชพรรณ (ซึ่งช่วยลดการระเหยและลดอุณภูมิในดิน) และพืชบางชนิดพันธุ์ อย่าง กล้วย หรือ ต้นนุ่น จะปล่อยน้ำไปตามดินและแบ่งปันน้ำให้พืชต้นอื่นๆ ช่องว่างระหว่างต้นถูกใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิทภาพ เนื่องจากว่าต้นที่โตต่างกันก็เข้าไปเติมเต็มระดับชั้นของ สวนป่าอาหาร กล่าวคือ แทนที่จะมีแค่พืชเติบโตอยู่เพียงชั้นเดียว คุณก็จะมีป่าเป็นห้าชั้นหรือมากกว่านั้น (ได้แก่ ชั้นต้นไม้สูงสุด Emergent ชั้นเรือนยอด Canopy ชั้นพื้นล่าง Understory ชั้นพื้นป่า Forest Floor ชั้นใต้ดิน Subterranean (ดูภาพที่ Fig.1.4) ยิ่งดินสะสมคาร์บอนได้สูงขึ้นผ่านการมีผลผลิตขั้นสุทธิสูงสุดของผืนป่า อย่าง ในระบบนิเวศขนาดเล็ก หรือ microecosystems (ดูตอนที่ 7 และตอนที่ 8) ก็จะส่งผลให้ดินกักเก็บน้ำได้ยาวนานกว่า ในช่วงปี ค.ศ. 2016 ที่เกิดปรากฏการณ์แห้งแล้งรุนแรง หรือ El Niño (เอลนีโญ) ต้นผลไม้ในหมู่บ้านล้มตายไปจากความร้อน ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเครียดและขาดน้ำ แต่พอเวลาเราเดินไปดูในป่า เรากลับพบว่าไม่มีต้นไม้ล้มตายเลยจากภัยแห้งแล้งในปีนั้น
สวนป่าอาหาร จำลองออกแบบไว้ตามระบบนิเวศธรรมชาติ ควรที่มุ่งรวมเอาชนิดพืชป่าและพืชพันธุ์อื่นๆเข้าด้วย (มากกว่าที่จะมุ่งปลูกเพียงพืชเลี้ยง) เนื่องจากว่าทั้งพืชป่าและพืชพันธุ์ที่ปลูกจะแข็งแรงทนทานและอุดมไปด้วยสารอาหารมากกว่า พืชที่อ่อนแอมากสุดก็คือพืชที่เพาะปลูกเป็นอาหารของการบริโภคในยุคใหม่ พืชเหล่านี้จะเป็นพืชกลุ่มแรกที่จะปลูกต่อไปได้อย่างยากลำบาก แล้วก็ปลูกต่อไปอีกไม่ได้ตามที่สภาวะโลกร้อนดำเนินต่อไป เราจะกลับมาที่เรื่อง อาหารป่า (wild foods) ในตอนที่ 6 ของบทความชุดนี้
คงเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า สวนป่าอาหาร ควรที่จะปลูกให้พืชพรรณเติบโตแบบปลอดสารเคมีพิษ (โดยปรับใช้ตาม หลักทฤษฎีเกษตรกรรมถาวร Permaculture Principles) ซึ่งไม่มีการนำเอาปุ๋ยเคมีและสารเคมีพิษต่างๆมาใช้ และถ้าหากปล่อยให้ต้นพืชเติบโตร่วมกันอยู่เป็นสังคมพืชที่หลากหลายได้ (เรียกรวมกันว่า ระบบนิเวศขนาดเล็ก) ก็จะไม่มีเหตุผลใดเลยจริงๆที่จะต้องใช้ปุ๋ยเคมีหรือสารพิษ ไม่มีใครใส่ปุ๋ยให้ต้นไม้ในป่า แต่ต้นไม้ในป่ากลับเป็นต้นที่สูงสุดและแข็งแรงมากที่สุด ไม่มีใครฉีดพ่นยาเคมีในผืนป่า ก็ยังมีความสมดุลกันของแมลงและสัตว์สายพันธุ์ต่างๆที่เป็นตัวที่กินกันเอง ดังนั้น มันจึงไม่เคยมีชนิดแมลงที่จะก่อความเสียหายขั้นรุนแรงเลย
ประเด็นสุดท้ายที่ต้องพิจารณาดูก็คือ เรื่องภูมิรัฐศาสตร์ทางการเมือง (geopolitical) และทางเศรษฐกิจ แม้แต่เกิดการหยุดชะงักเล็กๆต่อระบบอาหาร สังคมทั่วโลกสามารถได้รับผลกระทบนั้นอย่างกว้างขวาง เช่น หากมีปัญหาต่างๆในด้านราคาอาหาร หรือเก็บเกี่ยวอาหารได้น้อยลง กลุ่มประเทศที่ร่ำรวยกว่า อย่าง ประเทศจีน ก็เกิดภาะวะหวั่นวิตกขึ้นมาโดยทันที ซึ่งทำการจัดซื้อข้าวกักตุนไว้เพื่อให้มีอาหารเพียงพอสำหรับประชากรจำนวนมหาศาลของตน เนื่องจากพืชเศรษฐกิจต่างก็ถูกปลูก เก็บเกี่ยว ขนส่ง ขายต่อและถูกรับซื้อในปริมาณมากต่อครั้ง แม้แต่ในระดับภูมิภาคต่างๆหรือในหลายประเทศที่สามารถผลิตอาหารได้เพียงพอสำหรับประชากรของตน ก็ยังสามารถประสบกับภาวะการขาดแคลนอาหารได้ เพียงเพราะว่ากลุ่มประเทศที่ร่ำรวยกว่าก็แค่จ่ายราคาพืชเกษตรให้สูงกว่าที่คนในประเทศจะจ่ายได้ และกลุ่มประเทศร่ำรวยยังข่มขูกลุ่มประเทศที่เล็กกว่าได้ง่ายๆ เพื่อให้พวกเขาขายส่งสินค้าอะไรก็ตามที่ตนต้องการ ซึ่งมันส่งผลต่อกการคุกคามทางเศรษฐกิจ หรือ แม้แต่การแทรกแซงทางทหาร การแสวงหาผลกำไรส่วนตัวในแบบใช้อำนาจเข้าครอบครอง หรือ neocolonialist โดยกลุ่มประเทศมหาอำนาจจะน่าเป็นห่วงน้อยลง ถ้าคุณเพาะปลูกพืชอาหารหลักอย่างหลากหลายตามฤดูกาลที่มันเน่าเสียในเร็ววันหลังจากที่เก็บเกี่ยวเสร็จ เช่น มันห้านาที เมล็ดของลูกสาเกหรือลูกขนุน พืชเกษตรชนิดนี้ไม่น่าสนใจเท่าไหร่สำหรับเชิงการค้าขายระหว่างประเทศ (พืชทั้งสองชนิดนี้อาจจะต้องมีตู้เก็บความเย็นที่สม่ำเสมอ ซึ่งส่งผลให้ราคาขนส่งพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก และทำเป็นเชิงเศรษฐกิจไม่ได้) และมันจึงไม่ใช่พืชเป้าหมายที่เหมาะสมจากคู่แข่งเชิงรุกทางเศรษฐกิจ
ถ้าหากแนวโน้มล่าสุดของมาตรการคุ้มครองจากรัฐดำเนินต่อไป การผลิตและขนส่งอาหารได้ในระดับท้องถิ่น และการสร้างความหลากหลายทางอาหารให้เกิดขึ้น คือเรื่องที่จะประสบผลสำเร็จได้อย่างมั่นใจต่อเรื่อง ความมั่นคงทางอาหาร
แต่แล้วคุณจะเริ่มจากตรงไหนดีล่ะ? เราจะพูดถึงรายละเอียดที่กว้างขึ้นเกี่ยวกับ “พืชที่สำคัญสุด very important plants” หรือ (VIPs) ในตอนหลังๆ แต่ถ้าอยากได้แรงบันดาลใจไว้สักหน่อย ก็เริ่มต้นได้กับการปลูกกล้วย (Bananas) จะดีสุด (ปลูกทั้งกล้วยเฉพาะชนิดและปลูกล้วยหลายสายพันธุ์ใว้เยอะๆ เพื่อเพิ่มปุ๋ยชีวมวล ให้ร่มเงา และออกผลให้กินได้ภายในเวลาหนึ่งปี) พืชถั่วต่างๆ หรือ Beans (เติบโตร่วมกันกับต้นกล้วยได้ดีมาก มันช่วยตรึงธาตุไนโตเจน ดูตอนที่ 4) ขนุน Jackfruit (เป็นแหล่งอาหารหลัก ดูตอนที่ 2) ปลูกไม้ไผ่สักสองสายพันธุ์เป็นอย่างน้อย (พันธุ์เล็กและพันธุ์ใหญ่ ไว้ใช้เป็นวัสดุก่อสร้าง และไว้เก็บหน่อไม้กินเป็นอาหาร) ปลูกไม้วงศ์ถั่ว tree legumes (เช่น ต้นกระถิน หรือ Leucaena สำหรับช่วยตรึงธาตุไนโตเจนในอากาศ ช่วยเพิ่มชีวมวล ด้วยวิธีการสับแล้วทิ้งใส่ หรือ chop-and-drop และเพื่อปกคลุมพืชเลื้อยเอาไว้) ปลูกต้นไม้ป่าขนาดใหญ่ไว้ด้วยสักหน่อย (พันธุ์ไม้วงศ์ยาง Dipterocarps หรือพันธุ์ไม้วงศ์ถั่ว legumes เพื่อเพิ่มความสมบูรณ์ของดิน เพิ่มระดับชั้นของป่า ขยายร่มเงา และดึงดูเชื้อเห็ดรา mycorrhizal fungi) ปลูกมันห้านาที Cassava (เพื่อจะได้มีอาหารหลักชนิดแรก ซึ่งพร้อมให้เก็บกินได้ภายในเวลา 6 เดือน ดูตอนที่ 3) ปลูกมันหวานหรือมันเทศ Sweet Potatoes (เพื่อคลุมพื้นดินเอาไว้ ดูตอนที่ 3) และ ปลูกหัวเผือกหัวมัน Yams ไว้หลายๆชนิด ไว้เป็นพืชกินหัว อยู่ในดูตอนที่ 3 ด้วย) ตามช่องว่างระหว่างต้นพืช คุณก็ยังสามารถปลูกพืชที่แข็งแรงทนทานต่อสภาพอากาศได้อีก เช่น ปลูกต้นมะเขือพวง (Wild Eggplant) ซึ่งแข็งแรงกว่าและมีสารอาหารสูงกว่ามะเขือพันธุ์ทั่วไป ปลูกต้นมะระขี้นก (Wild Bitter Gourd) ซึ่งมีสารอาหารสูงกว่า มะระ (Bitter Gourd) ธรรมดาทั่วไป ปลูกต้นถั่วมะแฮะ (Pigeon Pea) สำหรับตรึงธาตุไนโตเจน และปลูกพืชที่มีโปรตีนสูงและโตเร็วมาก อย่าง ต้นคะน้าเม็กซิโก หรือ (ต้นชายา Chaya) และปลูกพืชสวนครัวเพิ่มอีกหน่อย อย่าง ผักกระเพรา แมงลัก โหระพา ผักชีหอม ผักชีใบเลื่อย ขมิ้นชัน ขิง ข่า กระชาย กระวาน ตะไคร้ ใบมะกูด ต้นหมุยป่า ต้นหมุยอินเดีย เป็นต้น
การขุดบ่อน้ำไว้ใช้ แม้จะเป็นบ่อสระเล็กๆก็มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพื่อเก็บน้ำไว้ใช้สอยทั้งปี และมันช่วยเติมน้ำให้กับน้ำชั้นใต้ดินอย่างสม่ำเสมอ ช่วยยกระดับระบบนิเวศขึ้นอีกมิติหนึ่ง สร้างแหล่งอยู่อาศัยเพิ่มขึ้น และเป็นแหล่งที่ปล่อยให้พืชน้ำเติบโตเป็นอย่างดี อย่าง ผักบุ้ง ผักกระเฉดน้ำ และสัตว์น้ำ อย่าง กุ้ง หอย ปู ปลา กบเขียด ปลาไหล เป็นต้น คุณอาจจะอยากเลี้ยงไก่บ้านไว้สักหน่อย เพื่อนำเอาเศษอาหารที่เหลือไปเลี้ยงไก่ต่อได้อีกด้วย จุดนี้คุณคงเห็นแล้วว่า มันไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด มันก็คล้ายๆกันกับตามที่รุ่นพ่อแม่ ปูย่าตายาย ของเราที่เคยดำรงชีวิตอยู่มานั่นเอง! แล้วทำไมต้องเสาะหาทางออกใหม่ๆอีก ถ้าหากวิถีชีวิตในอดีตก็ประสบผลสำเร็จมาอย่างมีประสิทธิภาพอยู่แล้ว?
แต่เดี๋ยวค่อยมาตามดูวิธีการเชิงเทคนิคในบทตอนหน้ากันอีกเร็วๆนี้!
หมายเหตุ: บทความตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของบทความทั้งชุด ซึ่งเราพาไปสำรวจหาหนทางออกสำหรับมรสุมปัญหาที่เราเผชิญกันอยู่ทุกวันนี้ เราจะลงบทความตอนต่อไปเป็นระยะๆ คลิกอ่านต่อที่นี่ ตอนที่ 2: ความหลากหลายของอาหารหลัก – ขนุน และผลไม้ตระกูลขนุน (Jackfruit and Artocarpus ssp.)
หรือคลิกกลับไปยังบทนำได้ที่นี่
คุณชอบบทความชิ้นนี้ไหม? ถ้าบทความแนว “มุ่งอธิบายแนวคิดเป็นองค์รวม” มีประโยชน์ต่อคุณอยู่บ้าง สามารถร่วมสนับสนุนงานเขียนของเราได้ ผ่านการส่งปัจจัยบริจาค (ตามคุณค่าที่คุณได้รับ) งานเขียนแนวนี้เกิดขึ้นมาจากความตั้งใจที่เรามุ่งสร้างความเข้าใจใหม่ที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นให้กับผู้คนในสังคม ด้วยการสละเวลาส่วนตนของเราเองเพื่อเป็นกระบอกเสียงในแบบที่แตกต่างไปจากมุมมองเดิมในอดีต ติดต่อส่งความคิดเห็น หรือ อยากวิเคราะห์วิจารณ์งานเขียนได้โดยตรงที่อีเมล์ [email protected] หรือต้องการส่งปัจจัยบริจาคให้กับโครงการอิสระของเรา โครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์ธรรมชาติ สวนฟื้นฟูวิถียั่งยืน ได้โดยสแกนคิวอาร์โคดด้านล่างนี้ โครงงานของเรายังอยู่ในระยะเริ่มต้น ซึ่งไม่มีรายได้เป็นประจำ เราขอขอบคุณทุกท่านมากยิ่งที่สนับสนุนผลงานของเรา ทุกการบริจาคถือเป็นแรงผลักดันให้เราได้ศึกษาค้นคว้างานวิจัย เขียนบทความ แปลงาน และแบ่งปันความรู้ในแบบองค์รวมให้กับผู้คนในสังคมสืบต่อไป!

No comments.