การปรับตัวในเชิงลึก: แผนที่นำทางสำหรับโศกนาฏกรรมจากสภาพภูมิอากาศ!

การปรับตัวในเชิงลึก: แผนที่นำทางสำหรับโศกนาฏกรรมจากสภาพภูมิอากาศ!

การปรับตัวในเชิงลึก: แผนที่นำทางสำหรับโศกนาฏกรรมจากสภาพภูมิอากาศ!

Deep​ Adaptation: A Map for Navigating Climate Tragedy  (IFLAS Occasional Paper 2) www.iflas.info July 27th 20181 เขียนโดย: Professor Jem Bendell BA (Hons) PhD

การปรับตัวในเชิงลึก: แผนที่นำทางสำหรับโศกนาฏกรรมจากสภาพภูมิอากาศ!  ไอเอฟแอลเอเอส บทความทางวิชาการเฉพาะกิจ 2 www.iflas.info 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 ผู้เขียน: ศาตราจารย์ ดร. เจม เบนเดล (ฮอนส์) ฉบับแปลภาษาไทย​: โดย​ คุณ​ Wanchat Theeranaew

วันนี้สวนเรามีบทความอันทรงพลัง​ที่ได้ตีแผ่ความจริงของปัญหาต่างๆของโลกที่เราอาศัยอยู่พร้อมทั้งสะท้อนถึง​ “ความน่าจะเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ซึ่งเป็นงานวิจัยอย่างน่าเชื่อถือ” ให้เราทุกคนได้คิดวิเคราะห์​และคาดการณ์​ถึงความเป็นไปได้ต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต​อันใกล้นี้​ ซึ่งเนื่องมาจากความเปลี่ยนแปลง​ของสภาพภูมิอากาศ​ รวมถึงระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม​อย่างยิ่งยวดมาหลายศตวรรษ​จนกระทั่ง​ ​ณ​ ปัจจุบันนี้​​ รวมถึงผลกระทบด้านอื่นๆของระบบสังคมของมนุษย​์​   ซึ่งบทความนี้เป็นบทความทางวิชาการ​เป็นงานวิจัยที่หลายคนอาจจะ​มองว่าเป็นเรื่องที่น่าเบื่อมาก​ ใครจะมานั่งอ่านงานวิจัยหร๋อ​? โดยเฉลี่ยแล้วเมื่อเทียบกับบทความแบบอื่นจะไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าไหร่​ แต่​ว่า​ บทความนี้ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก​ ล่าสุดมีเข้าคนเข้าอ่านและดาวน์โหลด​บทความนี้แล้วกว่าครึ่งล้านคนๆแล้ว

📢​ ดังนั้น​ เราจึงตั้งใจเอามาฝากเพื่อนๆที่ติดตามสวนฟื้นฟูของเราอยู่

**ไฟล์เอกสารที่แนบมาด้วยนี้เป็นบทความฉบับเต็มซึ่งทุกคนที่สนใจสามารถ​ดาวน์โหลด​เอาไปอ่านและแชร์​กันต่อไปได้​  (ลิงค์​เอกสาร)​

1. เพื่อเป็นเอกสารสำคัญสำหรับการเรียนรู้​ในมุมมองใหม่ที่แตกต่าง​อย่างชัดเจน และถือว่าเป็นบทความที่เปิดเผยความจริงอย่างตรงไปตรงมาในรูปแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

2. เพื่อความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับปัญหาต่างๆที่กำลังเกิดขึ้นทุกวินาทีทั่วโลก​ อาทิเช่น​ ปัญหาสภาวะโลก​ร้อน​ที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่​ซึ่งเกิดจากน้ำมือของมนุษย์​ที่สร้างขึ้นเอง​มาหลายชั่วรุ่นแล้วนั่นเอง และถึงเวลาที่จะต้องรับผิดชอบร่วมกันอย่างสุดโต่ง

3. เพื่อเป็นการตั้งคำถามให้กับตัวเองว่า ตัวเราจะดำรงชีวิตอยู่อย่างไร​ต่อไป รุ่นลูกรุ่นหลานของเราพวกเขาจะอยู่กันอย่างไร​ในอนาคต​ เราจะอยู่รอดได้อย่างไรท่ามกลางวิกฤติ​การณ์ดังกล่าว​ เราต้องทำอย่างไรจึงจะสามารถ​รับมือและปรับตัวเพื่อที่จะอยู่รอดและปลอดภัย​จากภัยพิบัติ​ทางธรรมชาติ​ท่ามกลางสภาพอากาศ​ที่เปลี่ยนแปลงอย่างหนักใน​อนาคต​อันใกล้นี้​ เป็นต้น

เนื่องจากว่าความยาวของบทความและประเด็นหลัก​ของเนื้อหา​ที่ผู้เขียนได้เน้นย้ำ​ผ่านบทความนี้อาจจะเป็นประเด็นที่หนักใจสำหรับหลายๆคนและอาจจะส่งผลกระทบต่ออารมณ์และความรู้สึกของหลายๆท่านได้​ แต่ขอย้ำว่า​ “เรื่องราวเหล่านี้พวกเราทุกคนไม่สามารถ​ที่จะหลีกเลี่ยงได้เลยจริงๆ”  พวกเราจึงจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจและยอมรับตามสภาพความเป็นจริงให้ได้  และสุดท้ายตัวเราจะได้มีเวลาเหลือพอสำหรับการปรับตัวเพื่อที่จะดำรงอยู่ต่อไปได้ท่ามกลางวิกฤติ​การณ์ครั้งยิ่งใหญ่ที่กำลังเปลี่ยนแปลง​อย่างฉับพลัน​

ถ้าหากผู้อ่านต้องการที่จะเข้าใจให้มากยิ่งขึ้นก็เข้าไปอ่านบทความที่แนบมากับลิงค์เอกสารข้างบนให้จบ​ หรือบางคนอาจจะบอกว่ายาวเกินไปสรุปให้ฟังหน่อย? ถ้าอย่างนั่นก็จัดไป!

ด้านล่างนี้จะเป็นบทสรุปคร่าวๆของเนื้อหาจากบทความนี้เกือบทั้งหมด มาเริ่มกันเลยล่ะกัน

บทความนี้ถูกเผยแพร่​โดยสถาบันความเป็นผู้นำและการพัฒนาอย่างยั่งยืน​ (IFLAS)​ หรือ​ The Institute of Leadership and  Sustainability (IFLAS    ซึ่งจุดมุ่งหมายของบทความเชิงแนวคิดฉบับนี้มีเพื่อให้ผู้ศึกษามีโอกาสที่จะประเมินการทำงานและ การใช้ชีวิตในรูปแบบใหม่ เพื่อที่จะตอบรับกับ…!!!

“ความล่มสลายของสังคมที่จะมาถึงในอีกไม่นาน​  (Near-term collapse of society)​ อันเนื่องจาก​การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ บทความฉบับนี้ได้วิเคราะห์งานวิจัยที่มาจากทั้งวารสารทางวิชาการและจากสถาบันวิจัยโดยตรงเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศรวมทั้งผลกระทบต่อ ระบบนิเวศ ระบบเศรษฐกิจและสังคม

ผลการวิเคราะห์งานวิจัยนี้ได้บทสรุปว่า​:

“การล่มสลายของสังคมจะเกิดในเวลาอีกไม่นานนี้และไม่สามารถ​ที่จะหลีกเลี่ยง​ได้​ และจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงในหลายแง่มุมต่อชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย​์​โดยส่วนใหญ่”

ดังนั้น​ บทความการปรับตัวในเชิงลึก​นี้​ ได้นำเสนอแนวทางการปรับตัวที่สำคัญๆอยู่สามส่วน​ ได้แก่​

ประการแรกคือ:

-(Resilience​) คือ​ ความสามารถ​ในการกลับสู่สภาพเดิม​ หรือความหยืดหยุ่น​ เช่น​ ความสามารถ​ในการปรับตัว​ให้เข้ากับผลกระทบจากสภาพอากาศ​ที่เปลี่ยนแปลง​ ถ้าหากเราต้องเผชิญกับภัยแล้งอย่างหนักหน่วงเราจะสามารถ​คงอยู่กับสภาพแห้งแล้งได้อย่างไร? ปัญหาเรื่อง​น้ำและ​อาหารเราจะเอามาจากไหน? ​ เราจะเตรียมตัวที่จะรับมือกับสถานการณ์​นี้อย่างไร?  ️ด้านความยืดหยุ่นตั้งคำถามกับเราว่า​ “เราจะรักษาสิ่งสำคัญที่เราต้องการที่จะรักษาไว้ได้อย่างไร?”  อะไรที่เราจะต้องรักษาไว้นั้นเป็นคำถามที่ยากมากเพราะคาดว่าหลายๆท่านคงอยากจะเก็บทุกอย่างที่มีความสำคัญต่อตัวเองไว้แต่อะไรล่ะที่มันสำคัญจริงๆที่จะสามารถช่วยให้เราอยู่รอดได้​ ดังนั้นปัจจัยสำคัญๆก็จะเป็นเรื่อง​ แหล่งอาหาร​ และที่อยู่อาศัย​ ช่วงนี้ที่เรายังมีโอกาสตักตวงความรู้ในเรื่องของการเพาะปลูก​ การทำสวน​แบบยั่งยืน​ ความรู้เกี่ยวกับเรื่อง​ของดิน น้ำ​ และสิ่งแวดล้อม​รวมถึงวิธีการสร้างที่อยู่อาศัยอย่างปลอดภัยให้กับตัวเอง​และครอบครัว​ เป็นต้น เมื่อเรามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้บ้าง​ ถ้าหากจุดที่เราต้องเผชิญมาถึงวันหนึ่งเราก็จะได้สามารถ​อยู่รอดผ่านช่วงวิกฤติ​นี้ไปได้

ประการที่สองคือ:

-(Relinquishment)​ คือ​ “การสละออก”  ซึ่งจะเชื่อมโยงไปถึงการที่ตัวเราและสังคมยอมที่จะละทิ้งทรัพย์สมบัติ ปรับพฤติกรรมและความเชื่อบางอย่างที่จะทำให้สถานการณ์ปัจจุบันเลวร้ายลง เช่น​ การย้ายถิ่นฐานออกจากแนวชายฝั่ง การปิดโรงงานอุตสาหกรรมที่มีความเปราะบางและสุ่มเสี่ยงหรือการละทิ้งความคาดหวังในพฤติกรรมการบริโภคบางอย่าง ไป​  ดังนั้น​ การสละออกจึงได้ตั้งคำถามกับเราว่า“อะไรที่เราต้องละทิ้งเพื่อที่จะไม่ทำให้สถานการณ์แย่ลง?”

📢ความคิดเห็นส่วนตัว: เนื่องจากว่า​ หลังจากภัยพิบัติ​ต่างๆที่เกิดขึ้นอยู่แล้วนั้นรวมรวมถึงผลกระทบจากสภาวะ​โลกร้อนที่กำลังเกิดขึ้นอยู่​ ณ​ เวลานี้​ ส่งผลให้พวกเราต้องสิ้นหวังกับหลายๆเรื่อง​ เช่น​ อาจจะต้องย้ายถิ่นหนีออกไปยังพื้นที่ที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล​ อันเนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลจากน้ำแข็งขั้วโลกเหนือละลายซึ่งประเทศไทยและกลุ่มประเทศในแถบเอเชีย​จะได้รับผลกระทบนี้โดยตรง​และมีความเสี่ยงสูง จากบทความที่วิเคราะห์​และการคาดการณ์​เกี่ยวกับประเด็นนี้ก็ได้ชี้แจงไว้อย่างชัดเจนว่าภายในปี​ 2030​ เมืองหลวงของประเทศจะเกิดน้ำท่วมครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นจึงเป็นเหตุให้ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเขตเสี่ยงต้องเตรียมตัวลี้ภัยพิบัติ​นี้ให้ทันเวลา​  (ลิงค์​ข่าว)​

นอกจากนี้แล้ว​ ยังมีผลกระทบที่เกิดจากปัญหาทางทรัพยากร​ธรรมชาติ​ที่มีอยู่อย่างจำกัดท่ามกลางความต้องการบริโภคของประชากรโลกที่มากเกินไป​ แต่ปัญหาที่ว่าทรัพยากกรหลักๆทางธรรมชาติ​ที่เริ่มหมดไปนั้นเป็นเหตุมาจากการที่มีกลุ่มบริษัท​ยักษ์​ใหญ่​ที่เข้าไปขุดเจาะ​ เช่น​ บริษัทน้ำมันดิบ​ บริษัทปิโตเลียม​ บริษัทเหมืองแร่​ บริษัทขุดเจาะก๊าซธรรมชาติ​ ​​เป็นต้น​ ที่ได้เข้าไปทำลายล้างทรัพยากรต่างๆจนเกือบจะหมดแล้ว​ กลุ่มบริษัทยักษ์​ใหญ่​ดังกล่าวจึงเป็นต้นเหตุของปัญหาทางทรัพยากร​ธรรมชาติ​มากกว่าเมื่อเทียบกับบุคคลธรรมดา​ทั่วไป​ นั่นคือสิ่งที่สะท้อนให้พวกเราเห็นว่า​ ถ้าหาก​ ณ​ เวลาใดเวลาหนึ่งของช่วงชีวิตของพวกเราหรือช่วงชีวิตของลูกของหลานเราคงต้องเผชิญ​กับ​ปัญหานี้โดยตรง​     เช่นว่า​ ถ้าน้ำมันดิบที่มีอยู่ใต้ดินแห้งสนิทไปเลยในทุกๆพื้นที่ที่ไม่สามารถ​เข้าไปขุดเจาะได้อีกและหากบริษัทยังจะดิ้นรนเพื่อขุดเจาะหาน้ำทันดินในป่าลึกๆมันคงจะเป็นไปได้ยากเนื่องจากต้องการเงินทุนสูงมากและพื้นที่ดังกล่าวก็อยู่ในพื้นที่ยากลำบากที่จะเข้าถึง​ ฉะนั้น​ เนื่องจากว่า​ อารยธรรม​นี้ยังคงดำรงอยู่และยังดำเนินต่อมาได้จนถึงปัจจุบัน​นี้ได้นั้นก็เพราะว่าเหล่านักลงทุนและบริษัท​ยักษ์​ใหญ่​ได้ค้นพบกับแหล่งน้ำมันดิบเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับอารยธรรมขึ้นมา  ผู้คนจึงได้อยู่กันอย่างสะดวกสบาย​และใช้ชีวิตอย่างหรูหราในเมืองใหญ่มีเวลาเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลก​ มีโอกาสขึ้นเครื่องบินไปยังพื้นที่ห่างไกลได้ทุกหนแห่งเลยทีเดียว​ ผู้คนส่วนใหญ่จึงติดกับความเจริญรุ่งเรือง​เป็นอย่างมาก​ และยังมองข้ามวิถีความเป็นอยู่แบบโบราณไป​เมื่อเทียบเป็นเวลา​กว่าสองสามร้อยปีที่แล้วกับ​ ณ​ เวลาปัจุบัน​นี้ ทุกคนคงเข้าใจถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน​ สิ่งนี้จึงปรากฏ​ให้เราเห็นว่ามันคือ​ ความก้าวหน้า​ ความพัฒนา​สูงสุดในประวัติศาสต​์ของมนุษย​ชาติ​ แต่​ ณ​ ปัจจุบัน​นี้หลายๆคนคงเริ่มได้ยินคำว่า​ ความพัฒนาอย่างยั่งยืน​ ผู้คนต้องหันไปใช้พลังงานหมุนวียน​ เช่น​ ต้องติดแผงโซลาร์เซลล์​ไว้หลังบนหลังคาบ้าน​ ต้องประหยัดน้ำ​ประหยัดไฟฟ้า​ ต้องหันไปให้ความสำคัญกับพลังงานทางเลือกและพลังงานทดแทน​ อาทิเช่น​ พลังงานจากกังหันลม​  พลังงานจากถ่านหิน​ การใช้ก๊าชธรรมชาติ​แทนน้ำมัน​ เช่น​ไบโอก๊าซ​ ซึ่งเป็นก๊าซหุ่งต้มที่หมักจากเศษอาหารหรือจากมูลสัตว์​และสามารถ​นำมาใช้ในระดับครัวเรือนและระดับชุมชนได้เป็นอย่างดี​ แต่ก็ไม่สามารถ​ใช้ได้อย่างยั่งยืนในระดับประเทศหรือระดับโลก ถามว่าทำไมเราถึงได้ยินคำเหล่านี้บ่อยขึ้นมากทุกๆวันล่ะ? คาดว่าที่กล่าวไปข้างต้นเกี่ยวกับการสละออกหรือการล่ะทิ้งสิ่งที่ไม่จำเป็นในการดำรงชีวิตทั้งหมดไปนั้นคือคำตอบค่ะ​

ด้านล่างนี้เป็นหลักฐานสำคัญของทรัพยากร​ทางธรรมชาติ​ที่มีอยู่อย่างจำกัด

(คำอธิบายเกี่ยวกับการประเมินค่าถึงทรัพยากร​พลังงานสำรองที่เหลืออยู่)​

ประการสุดท้าย​คือ:

-(Restoration)​ คือ​ การกลับคืนสู่สภาพปกติ​ การฟื้นคืน การฟื้นฟู​ หรือเรียกอีกอย่างว่า​ “การบูรณะ” เช่น​ การฟื้นคืนพื้นที่ป่าเพื่อความสมดุลย์​ของสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศในวงกว้างและลดความจำเป็นในการบริหารจัดการ​ การเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค ให้เข้ากับฤดูกาล การกลับมาแสวงหาความบันเทิงที่ไม่ต้องพึ่งพาไฟฟ้าและการเพิ่มผลผลิตกับการสนันสนุนในระดับชุมชน​  ทั้งนี้​วิธีการปรับตัวเชิงลึก​การบูรณะตั้งคำถามกับเราว่า“อะไรที่เราควรจะนำกลับคืนมาเพื่อช่วยบรรเทาความยากลำบากและโศกนาฏกรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต?

📢ความคิดเห็นส่วนตัว: ประเด็นนี้ถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมากที่พวกเราทุกคนจำเป็นต้องตระหนักถึงคุณค่าและความหมายของการกลับคืนสู่สภาวะปกติ​ เช่น การฟื้นฟู​ความสมบูรณ์ของสภาพแวดล้อม​ที่ถูกทำลายไปหรือการเข้าไปอยู่และดูแลรักษาพื้นดินที่ขาดการดูแลเป็นระยะเวลานานๆให้กลับคืนสู่ความสมดุลย์​อีกครั้งเพื่อที่เราจะสามารถ​ทำการเพาะปลูก​และใช้เป็นที่อยู่อาศัยได้ในอนาคต​ การฟื้นฟูพื้นดินเพื่อให้ได้มีแหล่งน้ำและแหล่งอาหาร​กลับคืนมาสำหรับการดำรงชีวิตอยู่ด้วยการพึ่งพาและอาศัยซึ่งกันและกัน​ กล่าวคือ​ มนุษย์​จำเป็นจะต้องมีปัจจัย​พื้นฐานสำหรับการดำเนินชีวิตทั้ง ​4 ประการ​ นั่นก็คือ​ อาหาร​ ที่อยู่อาศัย​ เครื่องนุ่งห่ม​ และยารักษาโรค​ ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม่เราถึงจะต้อง​ กลับคืนสู่ธรรมชาติ​พึ่งพาอาศัยธรรมชาติ​ และที่สำคัญมากที่สุดคือการดูแลรักษา​ความสมบูรณ์​ของธรรมชาติ​เพราะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ชีวิตของมนุษย์ที่​ต้องอาศัยปัจจัยทั้งสี่นี้เพื่อการมีชีวิต​รอดนั้นต่างก็ล้วนออกมาจากธรรมชาติ​ทั้งหมดเลย  ณ​  ปัจจุบัน​นี้ผู้คนยังคาดไม่ถึงว่า​ พวกเราขาดความรู้ในเรื่องของการกลับคืนสู่ธรรมชาติ​เป็นอย่างมาก​ โดยเฉพาะ​อย่างยิ่งในยุคสมัยใหม่นี้​ที่​เรื่องของวิทยาศาสตร์​และเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญมากกว่าการอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติ​ มนุษย์​ยุคใหม่แบ่งแยกตัวเองออกจากธรรมชาติ​ ตัดขาดจากความเรียบง่าย​และไม่เข้าใจธรรมชาติ​  ต่อสู้กลับธรรมชาติ​ เอารัดเอาเปรียบ​ธรรมชาติ​ เป็นส่วนมาก​ ก็เลยเป็นปัญหาไม่จบสิ้นมาตั้งแต่ช่วงแรกๆของยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม​ ยุคการปฏิวัติเกษตรกรรม​เป็นต้นมา​ ที่อารยธรรม​นี้ได้มีการคิดค้นและก่อสร้างเครื่องจักร​ขนาดใหญ่และประยุกต์​นวัตกรรม​ต่างๆขึ้นมาเพื่อสามารถ​ใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล​ได้จนถึงปัจจุบัน​นี้นั่นเอง

ถ้าถามว่า“แล้วเราจะได้อะไรกลับ​ ถ้าพวกเราช่วยกันฟื้นคืนผืนป่า​ ถ้าช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศ​และสิ่งแวดล้อม​ ถ้าช่วยตัวเองให้กลับคืนสู่ธรรรมชาติ​และอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างกลมกลืน​ ถ้าเราช่วยอนุรักษ์​สิ่งแวดล้อม​ที่เราอาศัยอยู่” เราจะได้อะไรกลับ?

คำตอบก็ง่ายๆเลย​ เช่นว่า​ เพียงแค่การที่เรากลับไปดูแลและรักษาพื้นดินที่เราอาศัยอยู่​ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่นาข้าวที่ได้มีการปลูกมาหลายชั่วรุ่นแล้ว​ หรือพื้นดินที่เป็นเกษตรแบบพืชเชิงเดี่ยวมาหลายต่อหลายปีแล้ว​​ หรือแท้กระทั่งพื้นดินว่างเปล่าๆไม่ค่อยได้ทำอะไรปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ​ เป็นต้น​​ เพียงแค่การกลับเข้าไปอยู่​อาศัย​และดูแล หรือการทำเกษตร​แบบผสมผสานและปลอดสารพิษ​ หรือการทำเกษตร​อินทรีย์​ที่กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นทุกวัน​ การปลูกพืชผัก​ผลไม้รวมถึงสมุนไพรนานาชนิดร่วมกัน การปลูกมัน​บ้านหรือมันป่า การเลี้ยงสัตว์ร่วมกันไปด้วย​สำหรับการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นวัฏจักร​ของสิ่งมีชีวิต​ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ​ ภายในระยะเวลาไม่เกิน​ 5 ปี​ ​เราก็จะพบกับการกลับคืนมาของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆจะได้มีที่อยู่อาศัยร่วมกันอีกครั้ง อาทิเช่น​ แมลงต่างๆที่สามารถ​กินได้​ พืชผักผลไม้และสมุนไพรทั้งที่เกิดเองตามธรรมชาติ​และที่เราทำการเพาะปลูก​ก็จะมีโอกาสเติบใหญ่​และเป็นผลพลอยได้สำหรับมนุษย์​ในเรื่องของอาหารและการดำรงชีวิตของพวกเราเอง​ ในทางกลับกันถ้าเราไม่ทำอะไรเลย​ ในอีกไม่ช้าก็เร็วพื้นดินที่ว่างเปล่าหรือพื้นดินที่ถูกรบกวนหรือถูกทำลายจากการไถพรวนดินอย่างหนักทุกๆฤดูก็จะขาดสารสารอินทรีย์​วัตถุ​ในดิน​ ขาดสารอาหาร​ ขาดจุลินทรีย์​ชนิดที่เกื้อกูล​ดินให้สมดุล​กัน​ นั่นก็จะเป็นยิ่งยากลำบากมากขึ้นสำหรับการฟื้นคืนสูสภาพปกติ​และที่จะยากลำบากมากยิ่งกว่าคือ​ เราจะเริ่มต้นจากอะไรกัน​ จะทำยังไงกับดินที่แห้งและแข็งจนขุดไม่เข้ากันล่ะ​ คงจะใช้เวลาอีกนานกว่าเราจะเริ่มการเพาะปลูก​ได้​ ทั้งเรื่องฤดูกาลแต่ล่ะปี​ เรื่องน้ำใช้สำหรับรดน้ำพืชผักที่เราปลูกไว้จะมีเพียงพอหรือเปล่านะ? การล่มสลายของสิงแวดล้อมและความหายนะ​ของสิ่งแสดล้อมจึงเป็นอุปสรรค​อย่างหนัก​ คือ​ปัญหาเรื่องความแปรปรวน​ของอากาศ​ที่ยากที่จะคาดการณ์​ได้​ จากผลกระทบที่ว่า​ ถ้าปีไหนแห้งแล้งก็จะแห้งแล้งหนักมาก​  ถ้าปีไหนฝนตกหนักมากก็จะเกิดน้ำท่วมเฉียบพลันในหลายๆพื้นที่​ ถ้าปีไหนอากาศ​หนาวก็จะยิ่งหนาวมากขึ้นกว่าทุกปี​  ปีไหนจะมีฝนน้อยฝนมากหรือปีไหนจะแล้งทั้งปี​ล่ะ​ จึงบอกได้ว่าถ้าเราเริ่มกลับไปดูแลพื้นดินที่เราอาศัยอยู่อีก​ภายใน​ 5-10 ปีข้างหน้าก็จะมีความยากลำบากมากขึ้นไปเรื่อยๆ​ เป็นต้น

“ดังนั้น​ สิ่งที่สวนเราบอกกับตัวเองอยู่เสมอก็คือ​  “ยิ่งเริ่มต้นเร็วยิ่งดี​ เริ่มตอนนี้ตอนที่เรายังมีแรงทำงาน​ เริ่มตอนนี้ตอนที่สภาพอากาศ​ยังเอื้ออำนวย  เริ่มตอนนี้ตอนที่เรายังเหลือเวลาได้เห็นพืชผักผลไม้ที่เราปลูกไว้เติบโตและได้กินผล​ในที่สุด​ ​ เริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง​  เริ่มเร็วได้เห็นผลเร็ว เราจึงต้องลำบากตอนนี้เราถึงจะดำรงอยู่ได้ในวันข้างหน้า​”

จุดนี้หลายคนคงจะเกิดคำถามขึ้นว่า​:

“เฮ้ย… อะไรจะล่มสะลายน่ะ? ทำไม? เพราะเหตุใดกัน?”  จากการสืบค้นในฐานข้อม้ลพบว่ากลุ่มคำเหล่านี้​ ได้แก่

“การล่มสลายของสิ่งแวดล้อม  การล่มสลายของระบบเศรษฐกิจ  การล่มสลายของสังคม​  การล่มสลายของอารยธรรม​  ความหายนะของสิ่งแวดล้อม  และการสูญพันธ์ุของมนุษยชาติ ไม่เคยปรากฎในบทความใดๆในวารสาร”!

จากการสืบค้นบทความเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าไม่มีบทความใดๆที่วินิจฉัยถึงการล่มสลาย!!!!  ผู้อ่านอาจจะตั้งคำถามว่า​ “เพราะเหตุใด” ? คำตอบสำหรับคำถามนั้นคือยังไม่มีการวินิจฉัย​ที่แน่ชัด! ดังนั้น​ การศึกษาที่เกี่ยวกับการปรับตัวต่อสภาพอากาศทั้งหมดที่มีอยู่เดิม​ ตั้งอยู่บนสมมุติฐานที่ว่า​ “เราสามารถรักษาสภาพสังคมในรูปแบบที่เป็นอยู่จากผลกระทบที่อยู่ในวิสัยที่รับมือได้”   แนวคิดของการปรับตัวเชิงลึกมีความคล้ายกับแนวคิดข้างต้นในจุดที่ว่า​ “เราจำเป็นที่ต้องยอมรับความเปลี่ยนแปลง” ในทางกลับกันบทความการปรับตัวเชิงลึกจึงใช้การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นจุดเริ่มต้นเพื่อรับมือกับการล่มสลายของสังคมในปัจจุบันนั่นเอง

(คุณ​ Wanchat Theeranaew)​

ได้​แปลถ่ายทอดบทความนี้ไว้อย่างล่ะเอียด​ ดังต่อไปนี้

-หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดคือการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกนั้นไม่สามารถปฏิเสธได้​ สิบเจ็ดในสิบแปดปีที่ร้อนที่สุดในการบันทึกตลอด 136 ปีล้วนเกิดขึ้นหลังจากปี​ พ.ศ.​ 2554 อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกได้เพิ่มขึ้น 0.9 องศาเซลเซียสนับจากปี​ พ.ศ. 2423 (NASA/GISS,2018) จุดที่น่าวิตกที่มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นมากที่สุดในโลกคือ​ ขั้วโลกเหนือซึ่งในปีพ.ศ. 2559 มีอุณหภูมิบนบกสูงถึง 2 องศาเซลเซียส​ นับจากอุณหภูมิเฉลี่ยระหว่างปี​ พ .ศ. 2424-2553 อุณหภูมิที่ขั้วโลกเหนือในปีนั้นสูงกว่าที่เคยเป็นประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2550, 2554 และ 2558​ ถึง 0.8 องศาเซลเซียสและยังสูงกว่าจุดเริ่มต้นของการบันทึกอย่างเป็นทางการในปีพ.ศ. 2443 ถึง 3.5 องศาเซลเซียส (Aaron-Morrison et al, 2017)

-ความร้อนที่เพิ่มสูงขึ้นในขั้วโลกเหนือเริ่มเป็นที่สนใจของคนทั่วไปเพราะมันส่งผลกระทบต่อกระแสลมในซีกโลกตอนบนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลมเจ็ทสตรีมและกระแสน้ำวนขั้วโลก ที่ส่งผลทั้งให้มีการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วของลมร้อนไปสู่ขั้วโลกเหนือและของลมหนาวออกมาจากขั้วโลกเหนือ เคยมีช่วงวันในปี​ พ.ศ. 2561 ที่อุณหภูมิของขั้วโลกเหนือสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตของ เดียวกันนั้นถึง 20 องศาเซลเซียส

อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นของขั้วโลกเหนือส่งผลให้ น้ำแข็งละลายเป็นจำานวนมาก พื้นที่เฉลี่ยของการเพิ่มของพื้นน้ำแข็งในเดือนกันยายนลงลดถึง​13.2 % ทุกทศวรรษนับตั้งแต่ปี​พ.ศ. 2523 จนสองในสามของพื้นน้ำแข็งในขั้วโลกได้ละลายหายไป (NSIDC/NASA, 2018) ข้อมูลนี่เป็นที่น่าวิตกอย่างยิ่งถูกมองไปถึงการเปลี่ยนแปลงในปริมาตรของน้ำแข็งเพราะมันเป็นตัวบ่งชี้ถึงความทนทานของน้ำแข็งต่อความร้อนและพายุที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ปริมาตรของน้ำแข็งในขั้วโลกเหนือต่ำ​ที่สุดในปีพ.ศ. 2560 และมีแนวโน้มที่จะ ลดลงเรื่อยๆ

ดังนั้น​ ผลกระทบที่เป็นผลมาจากความแปรปรวน​ของอุณหภูมิ​เฉลี่ย​ของโลกส่งผลให้เกิดภัยพิบัติ​ทางธรรมชาติ​หลายอย่างที่เรากำลังเผชิญหน้า​อยู่​ ที่ชัดเจนมากก็คือความถี่และความรุนแรงที่มาจากผล กระทบของพายุ​ ภัยแล้งและอุทกภัยอันเนื่องมา จากความแปรปรวนเพราะพลังงานที่เพิ่มขึ้นในชั้นบรรยากาศ

-ฉันทามติทางวิทยาศาสตร์ที่ยอมรับได้ในทางการเมืองว่าเราจำเป็นต้องควมคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้ เกิน 2  องศาเซลเซียสเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศที่จะมีความอันตรายและ อยู่เหนือการควบคุม ที่จะส่งผลกระทบหลายๆด้าน อาทิเช่น ความอดอยากในวงกว้าง โรคระบาด​ อุทกภัยวาตภัย การอพยพย้ายถิ่นและสงคราม​  แต่แท้จริงแล้วเราจำเป็นต้องใช้เวลาอย่างมากในการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจและถ้าเรายังไม่ได้เริ่มที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะควบคุมคาร์บอนให้อยู่ในขีดจำกัด การเพิ่มปริมาณการปล่อยคาร์บอนอีก 2% ในปี​ พ.ศ. 2560 แสดงให้เห็นว่าเรายังไม่สามารถแม้แต่จะชะลอการปล่อยคาร์บอนด้วยการพยายามแยกขาดของระบบเศรษฐกิจจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

นี่แสดงให้เห็นว่าเราไม่สามารถป้องกันไม่ให้อุณหภูมิโลกเข้าเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 องศาเซลเซียสได้ อีกทั้งการประเมินของไอพีซีซี​ ​(IPCC)​ยังมีความขัดแย้งกับนักวิทยาศาสตร์หลายๆท่านที่ประเมินว่าปริมาณของระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศในปัจจุบันจะนำไปสู่อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นมากกว่า​ 5 องศาเซลเซียส นั่นหมายความว่าเราไม่เหลืองบประมาณคาร์บอนอีกแล้ว เพราะเราได้ใช้มันเกินกว่าขีดจำกัดไปแล้ว​

-อีกประเด็นที่ถกเถียงกันอย่างมากคือประเด็นของก๊าซมีเทนในรูปของ​ (มีเทนคลาเทรต)​ บนพื้นทะเลของอาร์คติกที่มีโอกาสจะถูกปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ ในปีพ.ศ. 2553 กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ได้ตีพิมพ์ผลงานเพื่อ เตือนเกี่ยวกับการที่อุณหภูมิเพิ่มขึ้นในขั้วโลกเหนือจะเพิ่มความเร็วและปริมาณการปล่อยก๊าซมีเทนสู่ชั้นบรรยากาศ อันจะส่งผลถึงขั้นภัยพิบัติต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกเนื่องจากอุณหภูมิที่จะเพิ่มสูงขึ้นกว่า 5 องศาเซลเซียสในช่วงเวลาไม่กี่ปี (Shakhova et al, 2010)  เนื่องจากก๊าซมีเทนที่ถูกปล่อยออกมาจากก้นทะเล​ ซึ่งจะนำไปสู่การล่มสลายของสังคมอย่างฉับพลัน!

การประเมินถึงการสูญพันธ์ุของมนุษย์ชาติที่เรากำลังจะเผชิญในเวลาอันใกล้สามารถอ้างอิงได้จากข้อสรุปของนักธรณีวิทยาที่ว่าการสูญพันธ์ุครั้งใหญ่ครั้งที่ผ่านมาซึ่ง 95% ของเผ่าพันธ์ุที่เคยอยู่มาก่อนสูญพันธ์ุไปเกิดขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิในชั้นบรรยากาศอย่างรวดเร็วจาก​”ก๊าซมีเทน” (Lee, 2014) ; Brand et al,2016)

-ถ้าหากว่าเรายอมรับว่าการล่มสลายของเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศมีความเป็นไปได้สูง เราก็จะเริ่มที่จะค้นคว้าถึงลักษณะและความเป็นไปได้ของการล่มสลายนั้น เมื่อนั้นจะเป็นเวลาที่เราเริ่มค้นพบมุมมองใหม่ๆ บางคนอาจจะวางกรอบของอนาคตที่เกี่ยวข้องกับการล่มสลายของเศรษฐกิจและสังคมว่ามันไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะล่มสลาย​ไปหมดพร้อมกันนิ​ ก็แค่ระบบเศรษฐกิจ​และระบบของสังคมในวงกว้างจะเปลี่ยนไป​ หรือ
บางคนมองว่าการล่มสลายอาจจะนำมาซึ่งการนำมนุษยชาติไปสู่วิถีชีวิตใหม่ที่จะก้าวข้ามการบริโภคนิยมและตระหนักถึงคุณค่าของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติมากขึ้น​ กล่าวคือ​วิถีชีวิตใหม่​ในแบบของตัวท่านเองที่ต้องพึ่งพาอาศัย​ธรรมชาติ​มากขึ้น

-ข้อมูลการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิในขั้วโลกและผลกระทบต่อสภาพอากาศทั่วโลกบ่งชี้ว่าเรากำลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่จะส่งผลกระทบในทางลบอย่างรุนแรงต่อเกษตรกรรมภายในอีกไม่เกิน 20 ปีข้างหน้า ทั้งนั้นผลกระทบได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว​ ยังมีคน บางกลุ่มที่คิดว่าเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงการสูญพันธ์ุของมนุษย์ได้​ เชื่อว่าจะไม่มีใครอ่านบทความนี้เพราะเราจะได้เห็นการล่มสลายของสังคมในอีก 12 ปีข้างหน้า​ เนื่องความล้มเหลวในการเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรในซีกโลกตอนบนทั้งหมด พวกเขาเห็นว่าการล่มสลายของสังคมจะนำไปสู่การระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์และส่งผลให้มนุษย์สูญพันธ์ุเป็นสิ่งที่จะเกิดในไม่ช้า เป็นที่แน่นอนที่สุดว่าอีกไม่เกิน 5 ปี หลังจากนี้ความชัดเจนและสะเทือนอารมณ์ของข้อความนี้เป็นสาเหตุที่การสูญพันธ์ุในเวลาอันใกล้ ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ของมนุษย์ (ไอเอ็นทีเฮชอี) เป็นคำที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายบนโลก ออนไลน์ในบทสนทนาเกี่ยวกับการล่มสลายอันเนื่องมาจากภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง

ผลกระทบทางภาคเกษตรกรรม​ในวงกว้างที่ไม่สามารถ​เก็บเกี่ยวผลผลิตได้เหมือนหลายศตวรรษ​ที่ผ่านมาส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานอาหารที่มีการนำเข้าและส่งออกระหว่างประเทศหยุดชะงักลงและผู้คนที่ต้องพึ่งพาและขึ้นอยู่กับอาหารเหล่านั้นไว้บริโภค​จะทำอย่างไรต่อไป​ ถ้าไม่มีอาหารในตลาดแล้ว? รวมถึงการทำเกษตร​กรรมในแต่ล่ะภูมิภาคของประเทศก็จะมีความยากลำบากมากยิ่งขึ้นเนื่องจากปัญหาภัยแล้ง​ การขาดแคลนน้ำใช้​สำหรับการ​อุปโภคและการบริโภค​ เนื่องมาจากปัญหา​อ่างกักเก็บน้ำเหือดแห้งเร็วขึ้นในแต่ล่ะภูมิภาค​ น้ำในแม่น้ำและลำคลองก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ​ นั่นก็เพราะว่าเกิดการใช้น้ำอย่างไม่มีขีดจำกัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำเกษตร​ขนาดใหญ่ที่ต้องการใช้น้ำในปริมาณมากตลอดทั้งปี​ รวมถึงปัญหาด้านมลพิษทางน้ำก็พบว่ามีน้ำเน่าเสียและเป็นพิษมากขึ้นทุกปี​ฝนก็ตกน้อยกว่าแต่ล่ะปี​  เป็นต้น

(บทสรุปสั้นๆจากบทความฉบับเต็ม)​

เป็นที่น่าเสียดายว่าข้อมูลล่าสุดทางภูมิอากาศ​ ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและข้อมูลที่สะท้อนปริมาณคาร์บอนจำนวนมากที่เกิดจากวิถีชีวิตของเราแสดงให้เห็นว่าแผ่นดินถล่มเริ่มต้นขึ้นแล้ว เนื่องจาก​ “เราไม่สามารถรู้ได้ว่าจุดที่ไม่สามารถย้อนกลับไปได้ อยู่ที่ไหนจนกว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้น” การลดการปล่อยคาร์บอนและการนำคาร์บอนออกจากชั้น บรรยากาศ​ (ทั้งในกระบวนการตามธรรมชาติและฝีมือมนุษย์) เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน นั่นรวมไปถึงการริเริ่มใหม่ๆในการจัดการกับก๊าซ​มีเทน  ในปัจจุบันผลกระทบที่สร้างความเสียหายเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป จีโอเอ็นจิเนียริงมีแนวโน้มที่จะใช้การไม่ได้หรือส่งผลเสียกลับมา ดังนั้นประชาคมนโยบายภูมิอากาศกระแสหลักเริ่มตระหนักถึงความสำคัญในการศึกษาการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศอย่างจิงจัง​

เราจึงจำเป็นต้องตระหนักว่ารูปแบบการปรับตัวแบบใดบ้างที่เป็นไปได้​ งานวิจัยล่าสุดชี้ว่าสังคมมนุษย์จะเผชิญกับการพังทลายของระบบพื้นฐานของสังคมในอีกไม่กิน​10 ปี​ เนื่องมากจากแรงกดดันอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ ความยุ่งเหยิงที่จะเกิดขึ้นนี้รวมไปถึงการเพิ่มขึ้นของการขาดสารอาหาร ความอดอยาก​ โรคระบาด​ ความขัดแย้งและสงคราม  แม้แต่ประเทศที่ร่ำรวยก็ไม่สามารถหนีพ้นวิกฤติการณ์​ดังกล่าวได้​  (Bendell et al, 2017)

ท้ายที่สุดนี้ หลังจากอ่านบทสรุปของบทความนี้แล้วหลายท่านคงจะตกตะลึง​เป็นอย่างมากและเกิดความสับสนอาจจะถึงขั้นที่ต้องรู้สึกหวาดกลัวสำหรับอนาคตของพวกเรา​อย่างหนัก​ หรืออาจจะตั้งคำถามขึ้นมาว่า​ เอะ มันใช่หรอ? มันจะเป็นไปได้อย่างไรนะ? ทำไมไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อนเลย?​ นั่นก็เป็นเพราะว่าเรื่องราวเหล่านี้ไม่ค่อยจะปรากฏ​ให้เราได้เห็นหรือได้ยินข่าวสักเท่าไหร่​ ไม่ว่าจะเป็นบทความเชิงวิชาการ​ ข่าววารสาร​ต่างๆ บทความทั่วๆไป​ หรือข่าวคราวความเปลี่ยนแปลง​ของระบบเศรษฐกิจ​และระบบของสังคมและอารยธรรม​นี้ที่จะบ่งชี้ถึงปัญหาที่โลกของเรากำลังเผชิญหน้า​อยู่ในฉบับภาษาไทย​ อาจจะมีบ้างแต่ก็น้อยมากรวมถึงผู้คนส่วนใหญ่ยังไม่สนใจที่จะศึกษาเพื่อสร้างความเข้าใจในประเด็นดังที่กล่าวไปเบื้องต้น​  ในขณะที่​ มีหนังสือที่มีความสำคัญในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสภาพอากาศ​เปลี่ยนแปลงหรือเหตุการณ์​ล่มสลาย​อยู่หลายต่อหลายเล่มแต่ก็เป็นงานเขียนของชาวต่างชาติ​ซะส่วนใหญ่​ จึงส่งผลให้เรื่องราวเหล่านี้แพร่หลายในสังคมตะวันตกมากกว่า​ ณ​ ตอนนี้เรื่องราวของการล่มสลาย​ของอารยธรรม​ได้เริ่มผุดขึ้นมามากขึ้นทุกๆวัน​

​ทั้งนี้​แล้วต้องขอขอบคุณ​ไปทางคุณ​ Wanchat Theeranaew​ ที่ได้ถ่ายทอดผ่านผลงานแปลอันทรงพลัง​จากบทความ: Deep​ Adaptation: A map for Navigating Climate Tragedy   ฉบับภาษาไทยนี้​ สู่สังคมไทย และต้องขอคุณเดฟที่ได้แนะนำบทความนี้และได้อธิบายช่วยเหลือ​เพื่อเขียนเป็นบทสรุปนี้ลงบนเวปไซต์​ของสวนเราด้วย

ทั้งหมดที่กล่าวไปข้างต้นนั้น​ ทั้งจากบทความการปรับตัวเชิงลึกและจากความคิดเห็นส่วนตัวที่ได้กล่าวไว้นั้น​ ถือเป็นเพียงแค่การแบ่งปันแนวทางสำหรับการปรับตัวและการเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับผลกระทบที่เกิดจากสภาพอากาศ​เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน​ เพื่อที่เราจะได้มองถึงความเหมาะสม​สำหรับตัวเองว่า แนวทางทั้งสามอย่างมีเหตุผลหรือไม่​ สามารถ​ที่จะช่วยให้เราอยู่รอดต่อไปได้หรือไม่​ หรืออาจจะช่วยให้เราเริ่มที่จะเข้าใจปัญหาเรื่องสภาวะ​โลกร้อนได้มากยิ่งขึ้น​และตั้งคำถามให้กับตัวเองว่าแล้วเราจะทำอย่างไรเพื่อที่จะสามารถ​รับมือได้

“แน่นอนว่าไม่มีแนวทางไหนหรือวิธีการใดๆที่จะสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างตรงๆหรือเหมาะสมมากที่สุดสำหรับแต่ล่ะบุคคลได้  ฉะนั้นแต่ะล่ะท่านจึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาและเรียนรู้เพื่อที่จะนำไปปรับใช้ได้อย่างเหมาะสมในรูปแบบของตัวท่านเอง”   จากมุมมองของสวนฟื้นฟูวิถียั่งยืนของเราก็ถือว่าแนวทางทั้งสามนั้นมีเหตุมีผลเป็นอย่างมากที่จะช่วยให้เราสามารถที่จะดำเนินชีวิตรอดต่อไปได้​ นั่นก็คือ

*การกลับคืนสู่ธรรมชาติ​ การศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวพืชผักและผลไม้ป่านานาชนิดรวมถึงพืชผักผลไม้ที่เราสามารถ​ปลูกได้ตามสภาพแวดล้อมที่เราอาศัยอยู่

*การกลับไปใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย​และกลมกลืนกับธรรมชาติ​รวมถึงการกลับเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อมที่เราอาศัยอยู่​

*การกลับไปเรียนรู้วิถีการดำเนินชีวิตแบบใหม่โดยยึดหลักวิถีชีวิต​แบบสมัยก่อนเพื่อที่เราจะสามารถ​พึ่งพาตนเองได้​ ไม่ขึ้นอยู่กับระบบใดๆ

*การละทิ้งความสะดวกสบายที่ไม่จำเป็นออกไป​ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค​ของเราด้วยการบริโภคอาหารตามฤดูกาล​ พืชผักและผลไม้ตามฤดูกาล อาหารที่เราสมารถเก็บหาได้จากที่อยู่อาศัยของเราเอง​ เป็นต้น

*การศึกษาเรียนรู้ถึงวิธีการเอาตัวรอด​ท่ามกลางวิกฤติ​การณ์ของการล่มสลายต่างๆดังที่กล่าวไปเพื่อถือว่าเป็นการเตรียมความพร้อมที่จะรับมือกับความหายนะ​ต่างๆในอนาคตอันใกล้นี้

ถามว่าเหตุการณ์​ต่างๆเหล่านี้จะเกิดขึ้นตอนไหนล่ะ?

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราจะเตรียมตัวทันไหม? คำตอบก็คือเหตุการณ์​ล่มสลาย​ต่างๆนี้ได้เกิดขึ้นนานมาแล้วและเกิดขึ้นมาเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง​ มานับหลายศตวรรษ​แล้วจนกระทั่ง​ปัจจุบัน​นี้ก็กำลังเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาทั่วโลกซึ่งเพิ่มความรุนแรงและความชัดเจนมากขึ้น​ทุกวัน แต่เพียงแค่เรามองไม่เห็น​ เพียงแค่เราคาดไม่ถึง​ เพียงแค่เราไม่รู้สึกว่ากำลังมีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นในระบบของสังคม​และในอารยธรรม​นี้เอง​ เพียงแค่ทุกๆอย่างยังดูเหมือนเดิม​ เพียงแค่ยังมีงานให้ทำ​ ยังมีรายได้เลี้ยงชีพ​ ยังมีอาหารเพียงพอให้เรากิน​ อากาศก็แปรปรวน​บ้างแต่ก็ยังอยู่ได้​ ก็เลยเป็นบทสรุปที่ว่าทำไมเราจึงมองไม่เห็นถึงความล่มสลายต่างๆนั้นเลย

แต่ถ้าหากวันนี้คุณมีเวลาคิด​ทบทวนและถามกับตัวเองว่า​ ทำไมชีวิตของเราเริ่มที่จะอยู่ยากมากกว่าแต่ก่อนขึ้นทุกๆวันนะ? ทำไมเราต้องทำงานเยอะหลายชั่วโมงต่อวันเพื่อที่จะมีรายได้เพียงพอสำหรับอยู่รอดได้กับสังคมเมือง​ ทำไมผู้คนตอนนี้หันไปให้ความสำคัญกับ​วัฒนธรรม​ตะวันตกหรือวัฒนธรรม​แบบใหม่มากขึ้นล่ะ?  ทำไมระบบเศรษฐกิจ​ตอนนี้ไม่ค่อยดีเลยทำอะไรก็ลำบากมากขึ้นทุกวัน​ ทำไมมลพิษทางอากาศ​ มลพิษทางน้ำ​ กำลังเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นทุกๆวัน​ เป็นต้น​ นั่นถือเป็นคำตอบได้ว่าความล่มสลายต่างๆกำลังดำเนินต่อไปเรื่อยๆจนถึง​ ณ​ จุดจุดหนึ่งที่มันไม่มีอะไรที่จะใช้งานได้อีกต่อไป​ เมื่อระบบต่างๆพัฒนาขึ้นจนถึงจุดสูงสุด​ ในระดับที่ว่ามันไม่รู้จะขึ้นสูงสุดอีกอย่างไร​

และนั่นก็ถึงเวลาที่มันก็จะล่มสลาย​ของมันไปเองในที่สุด​ แล้วผู้คนที่ยังต้องอาศัยและพึ่งพาระบบเหล่านี้อยู่จะทำอย่างไรล่ะ? มันก็น่าคิดกันเล่นๆดูนะ​  หรือผู้อ่านอาจจะมองภาพไม่ออกที่กล่าวไปมันคืออะไรหร๋อ? ยกตัอย่างเช่น

“ถ้าเราไปปีนภูเขาที่สูงมากๆ​ และเราก็เดินขึ้นอยู่อย่างนั้นแหละ​ บางคนอาจจะเดินเร็วก็ไปถึงเร็ว​ บางคนอาจจะเดินช้าก็ถึงช้า​ แต่ตอนที่ทุกคนเดินไปถึงยอดเขาที่สูงมากที่สุดแล้ว​ ก็จะไม่มีใครเลยที่จะสามารถ​เดินขึ้นต่อไปอีกได้​ ถ้าเดินอีกก็อาจจะตกยอดเขาไปเลยทีเดียว  แต่เมื่อทุกคนที่ยืนอยู่บนยอดเขาที่สูงสุดแล้ว​ต่างก็ต้องเดินกลับลงมายังพื้นดินที่เราเดินได้และใช้ชีวิตต่อไป​”

นั่นก็เปรียบเสมือน​การล่มสลายของสังคมที่ว่า  เมื่อใดก็ตามที่ระบบของสังคมได้วิวัฒน์​หรือพัฒนา​ไปจนถึงจุดสูงสุด​ มันก็จะตกลงมา​เร็วหรือช้าขึ้นอยู่กลับแรงขับเคลื่อนของสังคมและผู้คนก็คงจะดำเนินชีวิตต่อตามสภาพที่เปลี่ยนไป​นั่นเอง!

ดังนั้น​ แนวทางและวิธีการของบทความการปรับตัวเชิงลึกนี้จึงมีความเป็นไปได้มากขึ้นสำหรับผู้ที่อ่านบทความนี้จบ

ถ้าหากผู้อ่านท่านใดมีคำถามเพิ่มเติมอยากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับบทความนี้​สามารถ​ติดต่อได้ที่อีเมล์นี้ได้​ [email protected]  หรือทางเวปไซต์​:  feunfoo.org​ และทางเฟสบุ๊ค​เพจของสวนเราได้โดยตรง

เกี่ยวกับผู้เขียนบทความนี้:

กานต์​ (Karn)​  มาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ​(ภาคอีสาน)​ อายุ​ 26​ ปี​ จบการศึกษา​ระดับปริญญาตรี​ คณะมนุษศาสตร์​และสังคมศาสตร์​ “สาขาวิชา​ ภาษาอังกฤษ​ธุรกิจ” ​(มหาวิทยาลัย​มหาสารคาม) ​ได้เข้าทำงานด้านการโรงแรมระดับห้าดาวเป็นเวลาเกือบหนึ่งปี​ แต่ต้องโยกย้ายงานอีกครั้​งเพื่อตามหาคำตอบว่าอะไรกันนะที่​ “ใช่”  สำหรับเรา​ ได้เข้าทำงานด้านอสังหาริมทรัพย์​อยู่สามถึงสี่เดือนแต่ก็ยังเกิดคำถามกับตัวเองว่า ทำไมยังไม่รู้สึกว่าตัวเรามีความปลอดภัยเลย​เวลาอยู่ในเมืองใหญ่ผู้คนก็อยู่กันแออัดมาก​ รูปแบบการดำเนินชีวิตก็ยุ่งเหยิง​ ข้าวของก็แพงมาก​ เพราะ​ว่าก็เป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยว​

จากนั้นก็เลยได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมสวนเกษตร​แบบผสมผสาน​แห่งหนึ่งอยู่ที่​ จ.​กระบี่​ พอได้เห็นวิถีการดำเนินชีวิตในสวนเล็กๆ​ ซึ่งมีวิถีการดำเนินชีวิตแบบเรียบง่าย​ เป็นเจ้านายตัวเอง​ ร่วมกับการใช้แรงของตัวเองทำหลายๆอย่างขึ้นมามันรู้สึกดีกว่าเราทำงานให้กับคนอื่นเป็นหลายเท่า ตัวเองก็เลยรู้สึกประทับใจและติดใจแนวคิดของการใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายและการใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาตัวเองได้มากกว่าการใช้ชีวิตอยู่อย่างเคร่งเครียด​ในเมือง​ นับตั้งแต่นั้น​ กานต์​ ก็ได้เริ่มต้นทำสวนช่วยกันกับเดฟที่สวนนั้น​ และ​ ​ณ​ ปัจจุบัน​นี้เรามีสวนเกษตร​ของตัวเอง​ อยู่ที่​ จ. จันทบุรี​  ก็เป็นเวลา​ 1 ปีต้นๆแล้ว​ ที่เราอยู่นี่และสวนเรายังไม่มีไฟฟ้าใช้​ เพราะเป็นพื้นที่ห่างไกลจากถนนเส้นหลัก แต่พวกเราก็ยังอยู่ได้​ เพียงแค่ลำบากนิดหน่อยที่ต้องขึ้นลงภูเขาไปบ้านเพื่อนสำหรับชาร์จ​หม้อไฟและโทรศัพท์​

สำหรับเวลาว่างจากการทำสวน​ของพวกเรา: เราก็จะอ่านหนังสือ​ เดฟจะเขียนบทความ​  เขียนเวปไซต์​ของสวนเรา​ ว่าเราทำอะไร​ เราทำสวนอย่างไร​ เดฟเป็นคนที่ชอบอ่านและชอบเขียนมาก​ เขาจึงแนะนำหนังสือภาษาอังกฤษ​หรือบทความที่สำคัญๆให้กับกานต์อยู่เสมอ​ ถ้ากานต์ชอบและเห็นด้วยก็จะแปลงานจากบทความที่สำคัญๆ​ ทำเป็นบทสรุปเหมือนบทความข้างต้นนี้​ และมีหนังสืออยู่หลายเล่มที่เดฟแนะนำให้​ ซึ่งพวกเราคิดว่ามีความสำคัญมากและอยากจะถ่ายทอดความรู้นั้นๆออกมาสู่ผู้ที่ชื่นชอบในการอ่าน​ ตอนนี้มีงานแปลเล่มแรกของตัวเอง​แต่ยังอยู่ในช่วงนำเสนอให้กับทางสำนัก​พิมพ์​อยู่​ คาดว่าคงจะได้ติดตามผลงานของสวนฟื้นฟูวิถี​ยั่งยืน​กันต่อไป​

โปรดติดตามพวกเราได้อีกในบทความหน้านะ​ ​:)​