
กินอะไรดี ถ้าอาหารในร้านค้าหมด
มาดูวิธีการเรียบง่าย ใช้ในระดับท้องถิ่น กับเรื่องระบบความยืดหยุ่นทางอาหาร และความมั่นคงทางอาหารในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ตอน Zero: บทนำ –ปัญหาคืออะไร? (What’s the Problem?)
บทความตอนนี้คือฉบับเต็มจากบทความต้นฉบับ ถ้ามีเวลาน้อยคลิกอ่านฉบับย่อได้ที่นี่
หมายเหตุ: บทความตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของบทความทั้งชุด ซึ่งเราพาไปสำรวจหาหนทางออกสำหรับมรสุมปัญหาที่เราเผชิญกันอยู่ทุกวันนี้ คลิกกลับไปยังหน้าแรกพร้อมสารบัญทั้งหมดที่นี่
ในปี 2013 โลกได้เข้าถึงจุดสำคัญทางสภาพภูมิอากาศ กล่าวคือ โลกเข้าถึงจุดที่ ระดับความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มสูงขึ้นถึงเป็น 400ppm ทุกวันนี้เราอยู่ในระดับ 420ppm ครั้งสุดท้ายที่โลกได้เผชิญกับความเข้มข้นสูงในระดับนี้ จากก๊าซเรือนกระจกที่รู้จักกันมากสุดก็คือเมื่อ 2.6 ล้านปีที่แล้วเป็นอย่างน้อย (มนุษย์ที่มีกายวิภาคปัจจุบัน ดำรงอยู่บนโลกมาเป็นเพียง 300,000 ปี) ตอนนั้นระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงกว่าเป็น 10 เมตรในระดับปัจจุบัน (ลาก่อน เมืองหลวงของประเทศไทย และรัฐนิวยอร์กของประเทศสหรัฐอเมริกา เมืองเชี่ยงไฮของประเทศจีน เมืองมุมไบของประเทศอินเดีย และเมืองหลวงจาการ์ตาของประเทศอินโดนีเซีย) และเรื่องอูฐที่แต่ก่อนเคยอยู่อาศัยในแถบขั้วโลกเหนืออาร์กติก
อุณหภูมิโลกร้อนสูงกว่าประมาณ 2 ถึง 3 องศาเซลเซียสของระดับปัจจุบัน และ (กลุ่มอนุรักษ์นิยมที่รู้จักกันทั่วไป) อย่าง คณะ IPCC และกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาสภาพภูมิอากาศเกือบจะทั้งหมด ก็ได้ลงความเห็นร่วมกันไว้แล้วว่า เราจะต้องลองทำทุกสิ่งอย่างให้เพื่อควบคุมระดับอุณหภูมิโลกให้ต่ำกว่าระดับ 2 องศา เพื่อหลีกเลี่ยงความหายนะของปรากฏการณ์ทางสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งมันจะทำให้อารยธรรมจบสิ้นลงได้อย่างงายดาย ตามที่เรารู้ๆกันอยู่ แท้จริงแล้ว แม้แต่อุณหภูมิโลกในระดับ 1.1 องศา ซึ่งเราเผชิญอยู่ตอนนี้ มันก็มีความเป็นไปได้มากๆว่า เราได้เข้าถึงจุดพลิกผัน หรือ tipping points แล้ว ในลักษณะของวงจรย้อนกลับเชิงบวก หรือ positive feedback loops ( เช่น สภาะวะน้ำแข็งละลายและการเกิดไฟป่า) ซึ่งมันก็จะทำให้ระดับอุณภูมิโลกร้อนยิ่งขึ้นไปอีกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
วงจรย้อนกลับเชิงบวกก็คือ หากมีสภาพอากาศที่แห้งแล้งกว่า มันก็จะก่อให้เกิดไฟป่าบ่อยขึ้น และเผาไหม้พื้นที่ขนาดใหญ่กว่าด้วย ซึ่งจะปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมหาศาลออกมา และผลที่เกิดขึ้นตามมาก็คือมันทำให้เกิดความแห้งแล้ง และอุณภูมิโลกร้อนเพิ่มขึ้นอีก สภาวะน้ำแข็งละลายส่งผลให้ธารน้ำแข็งสะสมชั้นเขม่าดำไว้ในพื้นผิว (ที่เกิดจากไฟป่า) ซึ่งไปเร่งให้น้ำแข็งละลายตัวในช่วงอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น ชั้นดินเยือกแข็งละลาย (thawing permafrost) ก็มีก๊าซมีเทนสะสมอยู่จำนวนมาก ซึ่งเป็นเรือนกระจกอีกก๊าซหนึ่งที่ส่งผลอย่างรุนแรง คือมันไปเร่งกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศและส่งผลให้ชั้นดินเยือกแข็งละลายเพิ่มอีก นั่นก็จะเกิดการปลดปล่อยก๊าซมีเทนมากขึ้นกว่าเดิม
เพื่อความชัดเจนยิ่งขึ้น เรามาดูแผนภูมิเส้นกราฟทั้งสองแบบที่แสดงถึงระดับความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ยึดตามเวลาประวัติศาสตร์ ดังนี้


ทั้งสองกราฟนี้หมายถึงว่าการมีผลลัพธ์บางอย่างที่ทำให้การทำเกษตรกรรมมีส่วนเกี่ยวข้องตั้งแต่แรก ซึ่งมันเปลี่ยนแปลงได้ง่ายและอยู่ได้ไม่ยาวนาน
สภาพอากาศคงที่คือรากฐากสำคัญที่ต้องมีมาก่อน สำหรับการทำเกษตรกรรม (ตั้งถิ่นฐานใหญ่กว่า และก่อตั้งอารยธรรม ตามลำดับ) หากไม่มีสภาพอากาสคงที่แล้ว ทั้งการทำเกษตรกรรม และแนวทางการเลี้ยงชีพแบบอื่นๆก็จะพ่ายแพ้ไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตามที่เราเห็นกันแล้วในแผนภูมิเส้นกราฟที่ (Figure 0.2) ซึ่งแสดงถึงช่วงเวลาที่มีสภาพภูมิอากาศคงที่ของยุคโฮโลซีนนั้น มันได้จบสิ้นลงอย่างเป็นทางการแล้ว สภาพอากาศแบบคงที่นี้ได้เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยแล้ว หากเทียบกับสภาพที่เราเผชิญกันอยู่ในวันนี้! และลักษณะต่างๆของปริมารณน้ำฝน (ปกติก็ถูกเสริมกำลังมาจากสภาพแวดล้อมเสื่อมโทรม) มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องการล่มสลายของอารยธรรมส่วนใหญ่ในอดีต ได้แก่ อารยธรรมของชาวอนาซาซี (Anasazi) และอารยธรรมชาวอินเดียนแดง โฮโกคัม Hohokam ในอเมริกาเหนือ อารยธรรมโบราณของชาวมายาในเมโสอเมริกา ข้ามผ่านมาจนถึงอารยธรรมเมโสโปเตเมียในดินแดนตะวันออกกลาง และอารยธรรมอียิปต์โบราณในแอฟริกา ไปจนถึงอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ (Indus Valley) บนดินแดนลึกลับในอินเดีย และอารยธรรมของนครวัด หรือ อารยธรรมอังกออร์ Angkor Wat ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อารยธรรมโลกาภิวัตน์ (Global civilization) และที่จริงก็รวมถึงเรื่องวิถีชีวิตของเราโดยส่วนใหญ่ด้วย ซึ่งก็ต้องพึ่งพาการมีสภาพภูมิอากาศค่อนข้างคงที่อยู่ตลอด กล่าวคือ เราทุกคนก็บริโภคผลผลิตทางการเกษตร และอุตสาหกรรมเกษตรก็ผลิตอาหารส่วนเกินไว้ ซึ่งต้องการใช้หล่อเลี้ยงประชากรโลกส่วนใหญ่เป็นจำนวนมหาศาล ซึ่งพวกเขาก็ไม่ส่วนเกี่ยวข้องกันเลยกับการผลิตอาหารเอง ระบบผลิตอาหารสามารถรับมือกับภัยพิบัติได้บ้างเป็นครั้งคราว เช่น ภัยน้ำท่วม หรือ ภัยพายุหนักรุนแรง แต่ก็เป็นเพียงข้อยกเว้นเท่านั้นที่ยังรับมือได้อยู่ มันไม่ใช่เรื่องปกติที่จะทำได้เช่นนั้น ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ การเพาะปลูกทางเกษตรจะไม่มีความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้นตามที่สภาพภูมิอากาศไม่คงที่ในช่วงปีข้างหน้านี้ สภาพภูมิอากาศรุนแรงแบบสุดขั้วจะกลายไปเป็นเรื่องปกติธรรมดา และแค่รุนแรงมากกว่าเดิม
มีแหล่งข้อมูลสำคัญมากที่สุดชิ้นหนึ่งซึ่งถูกมองข้ามไป เพื่อจะทำความเข้าใจได้ว่าเรากำลังอยู่จุดไหน ดูได้จากบทความวิจัยที่ชื่อว่า Our hunter-gatherer future: Climate change, agriculture and uncivilization งานเขียนฉบันนี้ได้รับการตรวจทานรับรองความถูกต้องจากผู้เชี่ยวชาญแล้ว เขียนโดย John M. Gowdy ตีพิมพ์ในวารสาร Futures ในปี ค.ศ. 2020 (มีในฉบับแปลภาษาไทย สามารถดาวน์โหลดเอกสารได้ที่นี่) Gowdy ได้กล่าวไว้อย่างตรงๆเลยว่า “สภาพภูมิอากาศหลังยุคโฮโลซีนจะไม่สามารถทำเกษตรกรรมได้อีก” และกล่าวยืนยันเพิ่มเติมในสิ่งที่เราได้กล่าวคร่าวๆไว้ด้านบน ดังนี้:
เกษตรกรรมและอารยธรรมเกิดขึ้นได้ ก็เนื่องมาจาก การมีสภาพอากาศที่มั่นคง และอบอุ่นเป็นพิเศษของยุคโฮโลซีน ในช่วงก่อนยุคนี้ในแต่ละปีก็มีความแปรปรวนของระดับอุณหภูมิ และเรื่องปริมาณน้ำฝน ซึ่งทำให้หลายชุมชนที่อยู่เป็นหลักแหล่งไม่สามารถพึ่งพาการทำเกษตรกรรมได้ รวมถึงเรื่องที่มีจำนวนประชากรมากขึ้น สภาพอากาศของโลกอยู่ในระดับคงที่แบบผิดธรรมดามาเป็นเวลาประมาณ 10,000 ปี แต่เนื่องด้วยสาเหตุที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์จึงทำให้ระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เพิ่มสูงขึ้น ตัวเราเองจึงติดอยู่ในช่วงเวลาใหม่ของสภาพอากาศที่ไม่มั่นคงอีกรอบ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าจะเปรียบเทียบได้กับสภาพของยุคน้ำแข็งไพลสโตซีน
เราแนะนำให้อ่านบทความวิจัยฉบับนี้ทั้งหมด เพราะมีการสำรวจตรวจสอบประเด็นดังกล่าวไว้ปอย่างละเอียด ซึ่งมีความเหนือชั้นมากกว่าขอบเขตงานของบทความเรา ในบทความวิจัยชิ้นนี้ประกอบไปด้วยแผนภูมิเส้นกราฟที่คล้ายๆกันกับ (แผนภูมิเส้นกราฟ Figure 0.1) แต่มีรายละเอียดที่น่าสนใจเพิ่มเติม คือ การคาดการณ์ในอีก 20,000 ปีข้างหน้าที่แสดงถึงความผันผวนแปรปรวนทางสภาพภูมิอากาศในยุคไพลสโตซีน
แนวโน้มที่ชัดเจนก็คือ ผลผลิตทางการเกษตรถูกจัดอยู่ในสภาวะถดถอยลดลงในอีก 10 ปี ข้างหน้าที่กำลังจะมาถึงนี้ ได้แก่ ระดับอุณหภูมิโลกสูงขึ้น ความแปรปรวนของปริมาณน้ำฝนที่ไม่มีความแน่นอนเลย และสภาพภูมิอากาศรุนแรงแบบสุดขั้ว จะส่งผลให้ผลผลิตลดลงและพืชเกษตรล้มตาย ราคาของน้ำมันเชื้อเพลิงและราคาปุ๋ยสังเคราะห์ถูกกำหนดให้อยู่ในจุดที่ยุ่งยากซับซ้อนมากไปกว่าเดิม ดูคำอ้างอิงที่ยกมาจากบทความวิจัยด้านบน:
ภายในปี ค.ศ. 2050 สถานะการณ์จำลองทางสภาพอากาศของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับกลางๆชี้ให้เห็นว่า ธัญพืชจำพวกข้าวจะมีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในประเทศแถบละติจูดกลาง เช่น ในพื้นที่ของประเทศจีน สหรัฐอเมริกา ยุโรป ยูเครน ซึ่งก็เป็นกลุ่มประเทศที่เป็นอู่ข้าวอู่น้ำของโลก ดูจากความไม่แน่นนอนในแต่ล่ะปี ก็จะเห็นความผันผวนของสภาพอากาศตามธรรมชาติที่มีระดับอุณหภูมิสูงกว่า มันก็จะยิ่งสูงมากกว่านั้นอีก ผลกระทบต่อพืชเศรษฐกิจจะโดนหนักกว่าและรุนแรงยิ่งกว่า

นอกจากนี้ ยังมีรายงานจากองค์กรพิสูจน์หลักฐานสหรัฐฯ หรือ US National Intelligence Council (NIC) รายงานชื่อว่า Southeast Asia: The Impact of Climate Change to 2030 – Geopolitical Implications ได้กล่าวอย่างเปิดเผยไว้ว่า “ผลลัพธ์โดยรวมจากปัจจัยของการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ และปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมอื่นๆ อย่าง ทางสังคม ทางการเมือง และปัจจัยทางเศรษฐกิจ จะสามารถทำให้รัฐบาลประเทศหนึ่งหรือมากกว่านั้นไร้อำนาจและล้มเหลวไปภายในภูมิภาค ราวปี ค.ศ. 2030 [เน้นย้ำว่าสำคัญ]” เรื่องนี้จึงมิได้หมายความว่าสภาพภูมิอาศจะไม่มีความอันตราย (มันอันอรายนะ!) มันหมายความว่า กิจกรรมต่างๆของมนุษย์ยุคใหม่คือ ภัยอันตรายมากยิ่งกว่าอีก แต่ประเด็นนี้ก็ยังพอมีหนทางออกที่เป็นไปได้อยู่บ้าง กล่าวคือ ถ้าผู้คนพากันหยุดทำลายสิ่งแวดล้อม แม้จะคิดในแง่ของการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศก็ตาม โอกาสอยู่รอดต่อไปของพวกเราก็จะมีเพิ่มขึ้นตามมา เราจึงขอแนะนำให้อ่านรายงานฉบันนี้ทั้งหมดให้จบ (หรืออย่างน้อยๆก็ต้องอ่านบทสรุปโดยสังเขป) หากคุณสังสัยลังเลใจเกี่ยวกับความตรึงเครียดอย่างหนักของสสภาพการณ์ที่เรากำลังเผชิญกันอยู่
เรายังคงอยู่ห่างไกลจากปัญหาตรึงเคียดดังกล่าวเป็นอีกหลายปี หรือ แม้แต่เป็นอีกสิบปี แต่แล้วเพียงแค่สถานการณ์โควิด19 ที่เกิดขึ้นเพียงสองปี และการปะทะกันอย่างฉับพลันของสงครามครั้งใหม่ เศรษฐกิจกำลังตกต่ำ ประสบภาวะเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วงชีวิตของพวกเรา ราคาน้ำมัน ราคาปุ๋ยเกษตร และราคาอาหารพุ่งพรวดสูงขึ้นอย่าฉับพลัน (คือทุกสิ่งอย่างมันเชื่อมโยงติดกันหมด!) รวมถึงเรื่องการขาดแคลนอาหารที่คงจะกลายมาเป็นวิกฤติใหญ่ทั่วโลก เรื่องราคาอาหารแค่เรื่องเดียว ก็สะท้อนให้มองเห็นถึงความขาดแคลนต่างๆ เช่น ทางวัตถุดิบ น้ำมัน สำหรับทำการเพาะปลูก เก็บเกี่ยว ขนส่ง และการกระจายสินค้าออกไป
แน่นอนล่ะว่า ชั้นวางของขายสินค้าก็ยังคงจัดวางอยู่เต็มชั้นเป็นส่วนใหญ่ทั่วโลก แต่อย่าปล่อยให้ตัวเองเข้าใจผิดไปเกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงทางอาหารเชียวล่ะ!
ถ้าหากทั้งหมดที่กล่าวไปฟังดูดราม่าเกินไปสำหรับคุณ หรือมันทำให้คุณตกใจที่ได้มองเห็นภาพความย่ำแย่มากกว่าเดิมอีกเท่าไหร่ เราขอแนะนำให้อ่านหนังสือ The Uninhabitable Earth by David Wallace-Wells (ชื่อหนังสือฉบับแปลภาษาไทย: โลกละลาย-เมื่อมนุษย์ไม่อาจอาศัยอยู่บนโลกได้อีกต่อไป) หรืออ่านบทความทางวิชาการเฉพาะกิจ Deep Adaptation paper เขียนโดยศาสตราจารย์ ดร. Jem Bendell (ดาวน์โหลดฉบับแปลภาษาไทย) ทั้ง David และ Jem ใช้เวลาตรวจทานงานวิจัยเป็นหลายเดือน ถึงผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศจากทุกสารทิศทั่วโลก และทั้งสองท่านก็ได้บทสรุปมาอย่างมั่นใจไว้ว่า ถ้าคำนึงดูแล้วว่ามันต้องทำยังไง และหากเราไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเรา อารยธรรมยุคใหม่ก็ดูเหมือนจะล่มสลายลงได้ในอีกไม่หลายปีข้างหน้านี้ หรือ ในอีกสิบปีข้างหน้าก็เป็นได้ (บางทีระยะเวลาก็ไม่ตรงกัน เพราะมันขึ้นอยู่กับว่าเราทำอะไรจริงๆ) มีเหล่านักวิทยาศาสตร์หลายท่านที่พูดจาเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา (และค่อนข้างมองโลกในแง่ร้าย) อีกด้วย และมีอยู่เพียงเหตุผลเดียวที่ว่าทำไมผู้อ่านบางส่วนคงจะตกใจ หรือ แม้แต่สะเทือนใจอย่างสุดขีดหลังจากอ่านบทความนี้ เหตุผลนั้นก็คือ วงการสื่อกระแสหลักที่ติดตามกันอยู่ประจำไม่แถลงข่าวต่อสื่อมวลชลให้มากพอถึงประเด็นความน่ากลัวของความน่าตกตื่นใจที่กำลังเกิดขึ้นโดยทั่วๆไป สิ่งที่พวกเขาไม่ได้คำนึงถึงเลยก็คือว่า ปัญหามีแต่จะเลวร้ายยิ่งขึ้น ถ้าผู้คนไม่เคยได้รับรู้เกี่ยวกับมัน และถ้ายิ่งไม่มีใครเลยที่ตระหนักถึงแก่นแท้ของปัญหาที่เรากำลังเผชิญกันอยู่ เรื่องสภาวะโลกร้อนจะไม่หายไปเฉยๆ ถ้าเราไม่ยกมันขึ้นมาคุยกัน กลุ่มเจ้าสัวผู้มั่งคั่ง อย่าง (ทั้งกลุ่มบริษัทและเหล่ารัฐบาล) และสื่อมวลชน ต่างก็ไม่อยากให้คุณรับรู้ความจริงเกี่ยวกับสภาวะโลกร้อน เนื่องจากพวกเขาเกรงว่า ระบบที่ทำให้พวกเขาร่ำรวยอยู่ต่อไปจะลดน้อยลง และพวกเขาก็จะสูญเสียสิทธิพิเศษนั้นไปด้วย! พวกเขาคิดกันว่าถ้าคุณรู้ความจริงว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร คุณก็จะลาออกจากงาน ย้ายไปอยู่ในแถบชนบท และเริ่มปลูกอาหารกินเอง และหยุดสร้างผลกำไรให้พวกเขา หรือไม่ก็พวกเขาคงคิดว่า ความน่ากลัวจะทำให้คุณถึงขั้นต้องหดหู่ใจและทำให้เป็นโรคคุณซึมเศร้าได้ แต่เราคิดว่า ความน่ากลัวเช่นนี้ มันก็ยังทำให้เรามีแรงบันดาลใจครั้งใหญ่ได้อีกด้วย! และจำไว้เลยนะว่า คุณไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในเรื่องนี้
ในขณะที่ปัญหาต่างๆก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ (และมันใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว) เรายังคงมีเวลาเหลือพอเพื่อที่จะรับมือ เตรียมตัว และปรับตัว จุดพลิกผันที่ว่านั้นได้แตกร้าวชัดเจนแล้ว ดังนั้น ตอนนี้เรื่องสภาวะโลกร้อนแบบสุดขั้วจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไป และการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศครั้งนี้ก็หมายถึงจุดจบของยุคสภาพอากาศคงที่ในยุคโฮโลซีนไปด้วย ซึ่งก็เป็นทั้งจุดที่การทำเกษตรกรรมและการก่อตั้งอารยธรรมได้เริ่มต้นขึ้นเป็นครั้งแรก แต่เราก็ยังสามารถที่จะหลีกเลี่ยงความเลวร้ายสุดๆได้อยู่ ถ้าหากเราเริ่มเตรียมตัวกันแล้วตอนนี้
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ฟังดูเหมือนจะเป็นวันโลกวินาศ แต่สิ่งสำคัญที่ต้องคิดไว้ก็คือ การที่อารยธรรมล่มสลาย ไม่ได้หมายความว่า มันคือจุดจบของเผ่าพันธุ์มนุษย์ และมันก็ยังมีความเป็นไปได้ที่มนุษย์บางส่วนจะยังอยู่รอดต่อไปได้อีกหลายศตวรรษข้างหน้า (ผลการคาดการณ์ที่โด่งดังสุดชี้ไว้ว่า ณ ระดับอุณหภูมิโลกที่ 4 องศา โลกเราจะหล่อเลี้ยงผู้คนได้น้อยกว่าหนึ่งพันล้านคน และจากการคาดการณ์ล่าสุดของคณะ IPCC ชี้ไว้ว่า โลกเราจะอยู่ในอุณหภูมิระดับนี้ ราวปี ค.ศ. 2100 ถ้าเราไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย) นอกจากนี้ การล่มสลายของอารยธรรม หรือ collapse of civilization มันจะดูไม่เหมือนกับในหนังโด่งดังฮอลลีวูด อย่าง เรื่อง Mad Max (แมดแม็กซ์) หรือ World War Z (มหาวิบัติสงคราม ซี) “การล่มสลาย หรือ Collapse” หมายถึงเพียงว่า การลดระดับความยุ่งยากซับซ้อนลง พูดในแง่ดีก็คือ คนในสังคมจะดำรงอยู่ได้ง่ายยิ่งขึ้น ถึงอย่างไรก็ตาม โลกกำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และเราต้องปรับตัวให้เร็วยิ่งกว่านั้นอีก ยิ่งเราเริ่มต้นเร็ว มันก็จะยิ่งดี เมื่อเราได้พบว่าโลกมีความไม่มั่นคงสูงขึ้น ประเด็นที่สำคัญและเร่งด่วนสุดๆก็คือ ทั้งเราและลูกหลานของเราจะเลี้ยงดูตัวเองต่อไปกันอย่างไร หากไม่มีระบบเกษตรกรรม ขณะที่ระบบเกษตรกรรมโดยทั่วไปก็ยิ่งไว้วางไว้ไม่ได้มากกว่าเดิมอีก เราจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีเป็นแบบอื่น เราต้องทำให้มีวิถีการเลี้ยงชีพที่หลากหลายยิ่งขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงความหิวโหยที่จะเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง
บทความตอนนี้จะพาไปดูกลยุทธ์บางอย่าง เพื่อจะใช้รับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ (climate change) โดยการปรับเปลี่ยนทางเลือก ทางเลือกแรกที่ขอบอกให้ นั่นก็คือ ในแบบวิถียังชีพ หรือ subsistence mode มันคือวิธีการทำสวนผสมที่มีต้นไม้เยอะ กล่าวคือ เป็นกลยุทธ์ที่ผสมหลักการของทฤษฏีเกษตรกรรมถาวร (permaculture) ทฤษฏีนิเวศเกษตร (agroecology) และทฤษฏีของวนเกษตร (agroforestry) ซึ่งวิธีการเหล่านี้ได้รับแรงจูงใจมาจากระบบนิเวศท้องถิ่นของพวกเราเอง จากเทคนิควิธีการเลี้ยงชีพของชนพื้นเมือง และจากประสบการณ์ของการฝึกทดลองทำดูที่สวนฟื้นฟูวิถียั่งยืน โดยมีเป้าหมายหลักคือ เพื่อสร้างเป็นสวนป่าที่มีชั้นไม้อย่างหนาแน่นและอุดมสมบูรณ์ “สวนป่าอาหาร หรือ Food Jungles” (ดูตอนที่ 1) ซึ่งมีความทนทานสูงต่อสภาพอากาศรุนแรงสุดขั้ว พืชล้มตายน้อยกว่า และสวนป่าอาหารสามารถให้แหล่งอาหารหลากหลายและสมบูรณ์ได้ โดยที่ไม่ต้องทำงานหนักมากเกินไป ในขณะเดียวกันสวนป่าอาหารก็จะช่วยดดูดซับกักเก็บก๊าซคาร์บอนได้ไปในตัว มันช่วยทำให้สภาพอากาศเฉพาะพื้นที่เย็นขึ้น ช่วยให้เกิดฝน และสร้างแหล่งที่อยู่อาศัยให้สัตว์ป่า
ความยืดหยุ่นดังกล่าวนั้น ทั้งความหลากหลาย ความมั่งคงปลอดภัย และการผลิตอาหารกินได้ในระดับท้องถิ่น (มันก็คือสายใยอันแน่นแฟ้นของการทำสวนป่าอาหาร) คือเรื่องที่จำเป็นต้องทำกัน เพื่อปรับใช้รับมือ หรือ เพื่อหลีกเลี่ยงความทุกข์ทรมาน จากความแปรปรวนทางสภาพอากาสในระดับที่คาดไม่ถึงมาก่อน จากการถดถอยทางผลผลิตการเกษตร และจากอารยธรรมโลกาภิวัตน์ล่มสลายลงเรื่อยๆภายใต้ปัญหาอันหนักอึ้งของมันเอง
คำถามที่เราพยายามหาคำตอบกันก็คือว่า เราจะปรับตัวกันอย่างไรต่อสถานการณ์ใหม่นี้ และเราจะกินอะไรดีในโลกที่ห้างสรรสินค้าและทุ่งนาปลูกข้าวเป็นเรื่องของอดีตไปแล้ว?
หมายเหตุ: บทความตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของบทความทั้งชุด ซึ่งเราพาไปสำรวจหาหนทางออกสำหรับมรสุมปัญหาที่เราเผชิญกันอยู่ทุกวันนี้ เราจะลงบทความตอนต่อไปเป็นระยะๆ คลิกอ่านต่อที่นี่ ตอนที่ 1: การทำสวนป่าอาหาร – เราเรียนรู้อะไรจากธรรมชาติได้บ้าง
หรือคลิกกลับไปยังบทนำได้ที่นี่
คุณชอบบทความชิ้นนี้ไหม? ถ้าบทความแนว “มุ่งอธิบายแนวคิดเป็นองค์รวม” มีประโยชน์ต่อคุณอยู่บ้าง สามารถร่วมสนับสนุนงานเขียนของเราได้ ผ่านการส่งปัจจัยบริจาค (ตามคุณค่าที่คุณได้รับ) งานเขียนแนวนี้เกิดขึ้นมาจากความตั้งใจที่เรามุ่งสร้างความเข้าใจใหม่ที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นให้กับผู้คนในสังคม ด้วยการสละเวลาส่วนตนของเราเองเพื่อเป็นกระบอกเสียงในแบบที่แตกต่างไปจากมุมมองเดิมในอดีต ติดต่อส่งความคิดเห็น หรือ อยากวิเคราะห์วิจารณ์งานเขียนได้โดยตรงที่อีเมล์ amoolnam@gmail.com หรือต้องการส่งปัจจัยบริจาคให้กับโครงการอิสระของเรา โครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์ธรรมชาติ สวนฟื้นฟูวิถียั่งยืน ได้โดยสแกนคิวอาร์โคดด้านล่างนี้ โครงงานของเรายังอยู่ในระยะเริ่มต้น ซึ่งไม่มีรายได้เป็นประจำ เราขอขอบคุณทุกท่านมากยิ่งที่สนับสนุนผลงานของเรา ทุกการบริจาคถือเป็นแรงผลักดันให้เราได้ศึกษาค้นคว้างานวิจัย เขียนบทความ แปลงาน และแบ่งปันความรู้ในแบบองค์รวมให้กับผู้คนในสังคมสืบต่อไป!

No comments.