บทรีวิวหนังสือ บนโลกแห่งกรวดทราย
บนโลกแห่งกรวดทราย: เรื่องราวของทรายและทรายเปลี่ยนโฉมอารยธรรมได้อย่างไร
The World In A Grain : The Story of Sand and How it transformed Civilization เขียนโดย Vince Beiser
พออ่านหนังสือเล่มนี้เสร็จก็อดใจที่จะสะท้อนมุมมองส่วนตัวต่อเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เลย! มาอ่านดูบทสรุปคร่าวๆกันก่อนว่า หนังสือเล่มนี้เขียนเกี่ยวกับอะไร ทำไมเพียงแค่เม็ดกรวดเม็ดทรายที่เราได้ยินหรือรู้จักกันดีอยู่แล้วนั้น จะกลายมาเป็นทรัพยากรรากฐานสำคัญซึ่งทำให้สังคมยุคใหม่รุ่งเรืองได้ถึงเพียงนี้ และทำไมการดำรงชีวิตของมนุษย์สมัยใหม่ถึงเป็นไปได้ และยังยืนหยัดอยู่ได้มาจนถึงศตวรรษที่ 21 คำถามจากบทสรุปของหนังสือเล่มนี้มีอยู่ว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและความมั่งคั่งของอารยธรรมนี้จะยังอยู่รอดต่อไปได้หรือไม่ ถ้าหากทรัพยากรดังกล่าวเหือดแห้งและดับสลายไปในท้ายที่สุด
หนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็นสองตอน
- ตอนที่หนึ่งก็จะมีอยู่หลากหลายประเด็นเกี่ยวกับ “ทราย” โดยจะเน้นไปที่ว่า ทรายก่อสร้างโลกให้เป็นสังคมอุตสาหกรรมได้อย่างไรในศตวรรษที่ 20
- ตอนที่สองจะหลากหลายประเด็นเกี่ยวกับ “ทราย” ด้วยเช่นกัน ภายใต้หัวข้อที่ว่า ทรายกำลังสร้างโลกแห่งโลกาภิวัตน์ในยุคดิจิตอลของศตวรรษที่ 21 ได้อย่างไร
หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยเรื่องเล่าอย่างละเอียดหยิบเกี่ยวกับ “ทราย” ไว้ได้อย่างครอบคลุมแทบจะทุกด้านเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็น ด้านสังคม ด้านการเมือง ด้านประวัติศาสตร์ ด้านผลกระทบทางลบต่อสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ และต่อสิ่งแวดล้อมอันจอมปลอมที่มนุษย์ยุคใหม่สร้างขึ้น รวมถึงด้านผลกระทบต่อสุขภาพของประชากรกลุ่มเสี่ยงที่อาศัยอยู่ตามอาณาบริเวณของเหมืองขุดทราย
คุณเคยถามตัวเองบ้างไหมว่า ทำไมวิถีชีวิตของสังคมมนุษย์ในยุคสมัยนี้ถึงอยู่ได้อย่างสะดวกสบายและฟุ่มเฟือยได้ถึงเพียงนี้? เก็บคำตอบของคุณเอาไว้ในใจ หรือ ลองตอบมันออกมาดังๆให้ตัวเองและคนข้างๆฟังดูสิ ว่ามันป็นเพราะอะไรกันที่ทำให้อารยธรรมนี้เจริญรุ่งเรืองและเฟื่องฟูมาได้อย่างไม่มีขีดจำกัด
นับมาตั้งแต่แรกเริ่มของอารยธรรมนี้ มันคือคำถามที่หาคำตอบได้อย่างครอบคลุมไม่ง่ายนัก เพราะ “โปรดจำไว้ว่าทุกสิ่งอย่างมันเกี่ยวพันธ์กันและสัมพันธ์กันทั้งหมดเลยบนโลกใบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกธรรมชาติ” สำนวนนี้มักจะพบกันอยู่เป็นประจำในศาสตร์แห่งปรัชญา และบ่อยครั้งใช้อธิบายกับหลากหลายศาสตร์อีกด้วย
ในหนังสือเรื่องเล่าเกี่ยวกับ “ทราย” ก็เช่นกัน มาดูกันว่า ทรายเกี่ยวข้องกับสังคมยุคใหม่อย่างไรบ้าง
ถ้าไม่มีทรายก็จะไม่มีการสร้างเมืองเกิดขึ้น ถ้าไม่มีทรายก็จะไม่มีตึกสูงเฉียดฟ้าให้พวกเรายืนแหงนมองดูและถ่ายภาพอันน่าอันน่าอัศจรรย์ใจได้ ถ้าไม่มีทรายก็จะไม่มีถนนคอนกรีต ถนนลาดยาง ถนนทางด่วน ถนนเส้นหลัก ถนนเล็กๆตามตอกซอกซอยที่เชื่อมโยงเส้นทางเดินรถเป็นพันเป็นล้านกิโลเมตรให้พวกเราเดินทางไปกลับทั้งบ้านเกิดและไปเยือนต่างถิ่นได้ ถ้าไม่มีทรายก็จะไม่มีรถยนต์ให้ขับ (เพราะจะขับไปไหนถ้าไม่มีถนน) ไม่มีเครื่องบินให้นั่ง ไม่มีรถไฟให้ขึ้น และไม่มีเรือบรรทุกสินค้าเพื่อเคลื่อนย้ายสินค้าและแรงงานเข้าสู่ตลาดโลก ไม่มีเรือท่องเที่ยวขนาดใหญ่ไว้นำพานักท่องเที่ยวไปที่ไหนได้เลย
ถ้าไม่มีทรายก็จะไม่มีสินค้าฟุ่มเฟื่อยนับร้อยนับพันอย่างที่วางเกลื่อนอยู่เต็มตลาดให้พวกเราใช้สอยกันตามอำเภอใจ อาทิเช่น พัดลม ทีวี ตู้เย็น เครื่องซักผ้า โทรศัพท์บ้าน โทรศัพท์มือถือ และที่สำคัญสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ เครื่องปรับอากาศ ไฟฟ้า หลอดไฟ และแม้แต่ แผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมกันสำหรับพลังงานทางเลือกที่ติดอยู่บนหลังคาบ้านของคุณด้วยเช่นกัน
และที่น่าทึ่งไปมากกว่านั้นคือ สายรับส่งสัญญาณอินเตอร์เน็ตแบบ Fiber-optic cables ที่ใช้รับส่งสัญญาญด้วยการนำแสงของคลื่นข้อมูล “อินเตอร์เน็ต” ที่พวกเราใช้กันแบบ “เป็นชีวิตอีกโลกหนึ่ง” ก็ต้องใช้ทรายประเภทที่บริสุทธิ์มากๆเพื่อที่มันจะบรรจุชุดข้อมูลได้ในปริมาณมากและส่งผ่านข้อมูลนั้นๆได้ในเวลาเพียวเสี้ยววินาที เพราะทรายคือวัตถุดิบสำคัญในการผลิตเป็นชิ้นส่วนประกอบของแต่ล่ะอุปกรณ์ที่กล่าวไปด้านบนนี้ ตัวอย่างเช่น ในชุดอุปกรณ์ที่เป็นหน่วยเก็บความจำของสมาร์ทโฟนและระบบคอมพิวเตอร์นั้น จะต้องผลิตมาจากแร่ทรายประเภทที่บริสุทธิ์มาก ถึง 99.999999999 เปอร์เซ็นต์ ฟิมล์รับแสงแดดของแผงโซลาร์เซลล์ก็เช่นกัน ต้องใช้แร่ทรายที่บริสุทธิ์มากถึง 99.999999 เปอร์เซ็นต์ ถึงจะใช้งานได้ ถ้าทรายไม่บริสุทธ์มากถึงเพียงนี้ ระบบเล็กจิ๋วนั้นๆก็จะใช้งานไม่ได้เลย
ดังนั้น ผู้บริโภคจึงมีสินค้าฟุ่มเฟือยให้อุปโภคบริโภคอยู่ตลอดเวลา แต่หารู้ไม่ว่า ทรายที่เคยมีอยู่เต็มไปหมดบนพื้นผิวของดาวเคราะห์ดวงนี้นั้น มันกำลังจะหมดไป และการนำเอาทรายที่ใช้ไปแล้วกลับมาใช้ซ้ำอีกนั้นก็ต้องลงทุนจนหมดตัวถึงจะได้คุณภาพของสินค้าที่ผลิตได้ใกล้เคียงกับตัวแรกที่ผลิตไปแล้ว และส่วนมากมักจะมีประสิทธิภาพลดลงหรือใช้งานไม่ได้เลย ฉะนั้น คำถามที่จำเป็นอย่างมากที่ต้องถามกันวันนี้ก็คือ ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะมีทรายให้ใช้สอยกันได้อีก
ทรายมีความสำคัญกับพวกเรามาเป็นเวลาหลายร้อยปีแม้กระทั่งเป็นพันปีเลยก็ว่าได้ ผู้คนได้ใช้ทรายสำหรับงานก่อสร้างนับมาตั้งแต่ช่วงเวลาของอารยธรรมอียิปต์โบราณ ในปี ค.ศ. 1500 Italian Artisan ได้ค้นพบวิธีการเปลี่ยนทรายให้เป็นแก้วใสๆที่มองทะลุผ่านได้ ซึ่งนั่นก็ทำให้เกิดการผลิตกล้องจุลทรรศน์ กล้องโทรทรรศน์ (กล้องส่องทางไกลสำหรับดูดาว) และนำไปผลิตเทคโนโลยีประเภทอื่นๆ ที่ช่วยขับเคลื่อนยุคสมัยของการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการของการปฏิวัติวิทยาศาตร์ การผลิตและการนำคอนกรีตและแก้วมาใช้ได้เปลี่ยนโฉมโลกไปหมด มันเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนและเปลี่ยนสถานที่ต่างไปบนโลกแห่งอุตหกรรม
วันนี้ชีวิตของพวกเราทุกคนก็ขึ้นอยู่กับทราย คุณอาจจะไม่รู้ตัว แต่ ทรายทำให้การดำรงชีวิตของทุกคนยังเป็นไปได้ ในยุคอุตสาหกรรมและในสังคมโลกาภิวัตน์
เกือบ 70 เปอร์เซนต์ของทรายทั้งหมดบนโลกนี้ก็คือ แร่ Quartz แร่ซิลิคอนไดออกไซด์ มีอยู่หลายชนิด แร่นี่เป็นที่รู้จักกันในชื่อ แร่ซิลิก้า (silica) ส่วนประกอบของแร่ซิลิก้าคือ ซิลิคอนและออกซิเจน ซึ่งทั้งสองอย่างนี้มีเยอะมากสุดในเปลือกโลก
ประวัติศาสตร์ของการเริ่มใช้ทราย: ชาวโรมันมีการนำเอาทรายมาทำคอนกรีตและนำมาประยุกต์ใช้อย่างประณีตในยุคนั้นมีการนำทรายมาใช้ก่อสร้างมาตั้งแต่ 7,000 ปีก่อนปีปัจจุบัน โดยคนโบราณในยุคนั้นเอาทรายมาผสมกับดินโคลนเพื่อทำเป็นก้อนอิฐหยาบๆ คอนกรีต คือเศษซากของเมืองต่างๆในโลกยุคใหม่ ถือได้ว่าเป็นวัตถุที่สำคัญมากสุดที่มนุษย์ยุคปัจจุบันได้สร้างขึ้นมา และ ปูนซีเมนต์ ไม่ใช่สิ่งเดียวกันกับคอนกรีตนะ!
เมื่อหลายศตวรรษที่ผ่านมา อารยธรรมมายาที่รุ่งเรืองเป็นอย่างมากเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ซึ่งตอนนี้คือ ภาคใต้ของประเทศเม็กซิโก ได้มีการทำแท่นคอนกรีตแบบหยาบๆ เพื่อสร้างคานหรือขื่อแป สำหรับรับน้ำหนักของตึกบางส่วนของพวกเขา ชาวกรีกโบราณ ใช้ปูนขาวหรือปูนซีเมนต์สำหรับก่ออิฐก่อตึก ชาวอิยิปต์ใช้คอนกรีตอีกรูปแบบหนึ่งในตึกที่สร้างพีระมิด!
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของสิ่งมีวิชีวิจากการขุดทราย
- การขุดเอาทรายออกมาจากใต้ก้นทะเลทำลายสิ่งมีชีวิตทุดชนิดที่อาศัยอยู่ใต้ก้นทะเล เศษฝุ่นที่รวมตัวกันเป็นของแข็งเหนือผิวน้ำทำให้ปลาขาดอากาศหายใจและปิดบังแสงแดดเอาไว้ทำให้พืชใต้น้ำขาดแดดและสังเคราะห์อาหารไม่ได้
- การขุดเหมืองทรายทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของสัตว์ทุกชนิด เหมืองทรายทำลายพื้นที่ทำเกษตรและแหล่งอาศัยของมนุษย์ด้วยเช่นกัน ของเสียที่ถูกปล่อยออกจากเหมืองก็ส่งผลต่อสุขภาพของสัตว์ทุกชนิด (โดยเฉพาะมนุษย์กลุ่มเสี่ยงที่อาศัยอยู่ในบริเวณขุดเหมืองและตามแม่น้ำ)
- ของเสียที่ถูกปล่อยออกจากเหมืองทรายทำให้แม่น้ำเน่าเสียและคร่าสิ่งมีชีวิตชีวิตที่อาศัยในน้ำเป็นหลัก
- การขุดทรายในอ่าวซานฟรานซิสโกจำนวนมหาศาลต่อปีทำให้เกิดการพังทะลายของชายหาดใกล้เคียงและอันตรายต่อแหล่งอาศัยของนกหลายชนิด
- การขุดทรายในมหาสมุทรทำลายแนวปะการังอย่างหนักหน่วง ในรัฐฟลอริดาและรัฐอื่นๆการขุดทรายได้คุกคามป่าโกงกาง คุกคามชีวิตของปลาโลมา คุกคามชีวิตของเต่าที่อาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเล
ในประเทศเวียดนาม นักวิจัยและกรมคุ้มครองสัตว์ป่าเชื่อว่า การขุดเมืองทรายบนปากแม่น้ำโขงจะทำให้พื้นที่จำนวน 15,000 ตารางกิโลเมตร บนพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงหายไปอย่างช้าๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เองได้ขุดทรายออกจากฝั่งแม่น้ำ เพื่อนำไปก่อสร้างเมืองที่กำลังก่อตัวขึ้น ทรายเกือบ 50 ล้านตันถูกขุดออกมาทุกๆปี! ทรายที่อยู่กับแม่น้ำมีความสำคัญต่อการเก็บน้ำสำรองในระดับท้องถิ่น
ปัญหาการใช้ความรุนแรงจากการขุดเหมืองทราย: ในตลาดมืดที่ค้าขายทรายกัน การใช้ความรุนแรงถึงชีวิตจากหลายๆพื้นที่ มีคนถูกยิง ถูกแทง ถูกซ้อมตี ถูกทำให้ทรมาน และถูกจับเข้าคุก จากการทำเหมืองทรายในหลายประเทศทั่วโลก เช่น ในประเทศจีน มีแกงค์ขุดทรายถูกจับกุมเข้าห้องขังในปี 2015 หลังจากต่อสู้กันกับตำรวจ ในประเทศอินโดนีซีย นักกิจกรรมถูกซ้อมตีถึงอาการโคม่า และที่รุนแรงมากสุดก็คือ ที่ประเทศอินเดีย การต่อสู้กันกับผู้ลักลอบขุดทรายอย่างผิดกฏหมาย มีครอบครัวที่สูญเสียสมาชิกกันไปหลายครอบครัว จากการหยุดหยั้งและต่อต้านกับบริษัทขุดทราย
ความต้องการทรายในตลาดเพิ่มมากขึ้น ก็เนื่องมาจากจำนวนประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นทุกวี่วัน ซึ่งทำให้ทุกๆคนอยากจะมีบ้านดีๆไว้อยู่อาศัย สร้างห้องทำงาน สร้างโรงงาน สร้างห้างสรรพสินค้าเพื่อให้คนเดินช็อปปิ้ง ถนนหนทางที่เชื่อมกังถึงกันไปทุกพื้นที่ เป็นต้น
จากมุมมองของผู้เขียนบทความนี้ มองว่า มันไม่ใช่คนสามัญชนธรรมดาที่จะต้องใช้ทรายเยอะๆ แต่เราจะต้องมองไปที่ ใครอยากสร้างเมืองใหญ่ๆ? ใครทำให้ผู้คนต้องปรับเปลี่ยนวิถีดำเนินชีวิต? ใครอยากสร้างถนนเชื่อมโยงเส้นทางกันเพื่อเดินทางไปได้ทุกพื้นที่? ใครบอกเราว่าต้องอยู่ในบ้านสวยหรูที่ต้องฉาบด้วยปูนซีเมนต์? ใครบอกเราว่าต้องซื้อของกินของใช้ที่ฟุ่มเฟือยอย่างต่อเนื่อง? และที่สำคัญใครเป็นคนได้ผลประโยชน์จากเรื่องนี้?
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากความต้องการของเจ้าของธุรกิจและอำนาจรัฐที่บังคับใช้กับสามัญชนให้เชื่อว่า ทุกสิ่งอย่างต้องเป็นไปตามมาตรฐานสากลและต้องปรับเปลี่ยนทุกสิ่งอย่างไปตามยุคสมัย แต่มาตรฐานอะไรที่จะมาวัดคุณภาพชีวิตของเราได้ล่ะ? กลับไม่มีใครตอบได้เลย เพราะพวกเราเชื่อว่ามันก็คือสิ่งเหล่านี้เองที่จะช่วย ยกระดับคุณภาพชีวิตของเราให้ดีขึ้น แต่แท้จริงแล้ว เราจะใช้ชีวิตให้มีคุณภาพได้มากยิ่งขึ้น หากปราศจากสิ่งดังกล่าว!
ประวัติการสร้างถนนและการใช้รถยนต์
ผู้คนได้เริ่มสร้างถนนแบบหยาบๆนับมาตั้งแต่ 4000 ปีก่อนปัจจุบัน ซึ่งก็คือการแผ่ขยายออกของเมืองต่างๆของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย ของ UR และบาบิลอน โดยการฉาบด้วยอิฐที่ทำจากดินโคลนติดยึดเข้าด้วยกันกับยางราดถนน หรือ Asphalt หรือ Bitumens เป็นสารประกอบที่มีตามธรรมชาติ ประกอบขึ้นด้วยไฮโดคาร์บอนเป็นส่วนใหญ่ Asphalt คือยางมตอย ที่ใช้ทำถนนดำ ถนนคอนกรีต ที่ฉาบด้วยปูนสีเทา Bitumens คือสารที่ได้จากผลิตภัณฑ์พลอยได้ของการสกัดน้ำมันจากปิโตเลียม ถนนทั้งสองอย่างนี้ก็ทำขึ้นมาจาก กรวดและทราย ความแตกต่างจะอยู่ที่การใช้สารยึดเหนี่ยว ในถนนคอนกรีตใช้สารยึดเหนี่ยวจากซีเมนต์ ส่วนถนนราดยางหรือตามทางเดินฟุตบาทใช้สารยึดเหนี่ยวเป็น Bitumens ซึ่งโดยทั่วไปล้ว Asphalt จะราคาถูกกว่า ใช้งานง่าย ซ่อมแซมง่าย และขับรถได้ราบรื่นและเงียบมากกว่า ในขณะที่ถนนคอนกรีตจะอยู่ได้นานกว่า และไม่จำเป็นต้องซ่อมแซ่มมากเท่าไหร่ ในศตวรรษที่ 18 ถนนทั้งสองแบบนี้เริ่มเชื่อมโยงกันในแถบชานเมือง
รถยนต์ทุกประเภทและถนนต่างก็เอื้อผลกำไรต่อกันและกัน พึ่งพากันและกัน ยิ่งคนซื้อรถยนต์มากขึ้นเท่าไหร่ ถนนก็จะถูกสร้างเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งสร้างถนนเพิ่มคนก็จะซื้อรถเพิ่ม วัฏจักรนี้ดำเนินมาตลอดจนถึงปัจจุบันนี้ แทบจะทุกประเทศทั่วโลกมีจำนวนการใช้รถเป็นยานพาหะนะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยก็มีแล้ว 1.2 พันล้านคัน และจำนวนนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในปี 2050 ทั้งนี้การใช้ทรายในรูปแบบของคอนกรีตและถนนที่ลาดด้วย Asphalt นั้นได้เปลี่ยนแปลงที่อยู่อาศัย ที่ทำงาน และการเดินทางของพวกเขาไปอย่างสมบูรณ์แล้วในสหรัฐอเมริกา
เราจะไม่มีกล้องถ่ายรูป ฟิมล์ถ่ายรูป โทรทัศน์ แว่นตา เราจะไม่สามารถศึกษาเกี่ยวกับแบคทีเรียและไวรัสได้เลย เราจะไม่มียาปฏิชีวนะและการปฏิวัติระดับโมเลกุลทางชีววิทยา เราจะไม่สามารถระบุระหัสพันธุกรรมของพืชและสัตว์ได้เลยถ้าไม่มีแก้ว!
แว่นตาคืออีกเครื่องมือหนึ่งที่ทำให้นักวิชาการและเหล่าผู้เชี่ยวชาญชาวยุโรปใช้กันนับมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1400 ในช่วงเวลาเดียวกันนี้แว่นตายังไม่เป็นจุดสนใจในแถบเอเชีย จนกระทั่งมีนักผยแพร่ศาสนาชาวตะวันตกเดินทางข้ามทวีปและได้แนะนำให้กับชาวจีนและญี่ปุ่น ในปี ค.ศ. 1551 ดังนั้น ช่องว่างของการใช้เทคโนโลยีจึงอธิบายความเหนือชั้นของชาวยุโรปได้มากกว่าชาวเอเชีย ในด้านการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ในปี ค.ศ. 1700 และ ปี ค.ศ. 1800
ในปี ค.ศ. 1970 นักวิทยาศาสตร์ได้ใช้ทรายบริสุทธ์สูงมากจนพัฒนามาเป็นเส้นใยแก้ว หรือ optical fibers ซึ่งทำให้มันสามารถรองรับข้อมูงดิบๆจำนวนมหาศาลได้
ในศตวรรษที่ 20 คอนกรีต ยางราดถนน และแก้ว ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของสิ่งแวดล้อมที่ถูกสร้างขึ้นเป็นจำนวนหลายล้านสิ่งอย่างจนนับไม่ถ้วนในสังคมตะวันตก กองกำลังของทรายทำให้พวกเรามีตึกดาดฟ้า หน้าต่าง และชานเมือง มีขวดแก้วสำหรับทุกคน และถนนที่รถทุกประเภทต้องพึ่งพา
ในศตวรรษที่ 21 การดำรงชีวิตที่มีทรายเป็นฐานหลักๆกำลังแพร่กระจายความเจริญไปอย่างไร้ขีดจำกัดทั่วโลก ตอนนี้ ทราย ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างที่ดินใหม่ เพื่อเข้าถึงแหล่งขุดน้ำมันดิบ และใช้ทรายเพื่อผลิตเครื่องมือและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อันฟุ่มเฟือย ซึ่งแทรกซึมชีวิตของพวกเราอยู่ทุกวัน เมื่อศตวรรษก่อน ทราย คือส่วนประกอบที่เป็นประโยชน์นำไปทำได้หลายสิ่งอย่างที่จำป็น แต่วันนี้ อารยธรรมของพวกเรา สังคมของพวกเราจำดำเนินต่อไปได้หรือไม่ มันก็ขึ้นอยู่กับทรายไปเสียแล้ว
ตอนที่สอง: ทรายกำลังสร้างโลกแห่งโลกาภิวัตน์ในยุคดิจิตอลของศตวรรษที่ 21 ได้อย่างไร
ก้อนหินที่เรียกว่า spruce pine คือแหล่งของแร่ Quartz ที่บริสุทธิ์มากที่สุดที่เคยค้นพบในโลก นี่คือส่วนสำคัญของแร่ silica dioxide ซึ่งป็นกุญแจหลักในการผลิตเป็นแร่ซิลิคอน เพื่อผลิตแผ่นบรรจุความจำของคอมพิวเตอร์ ที่จริงแล้วแผ่นบรรจุความจำของโน๊ตบุ๊ค ของโทรทัศน์ และสมาร์ทโฟนก็ทำมาจากแร่ Quartz นี้เอง
ในศตวรรษที่ 21 ทรายได้กลายมาเป็นทรัพยากรสำคัญมากกว่าแต่ก่อน มีความหลากหลายของรูปแบบการใช้งานมากกว่าเดิม เพราะนี่คือยุคแห่งดิจิตอล งานต่างๆที่เราทำ สื่อบันเทิงต่างๆของพวกเราที่ได้จากการเสพโซเชียลมีเดีย ดูหนังฟังเพลง ดูวิดิโอ เล่นเกมส์ วิธีการสื่อสารกับคนอื่นๆของพวกเราต่างก็ถูกกำหนดโดยการใช้อินเตอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้น แต่เครื่องมือดังกล่าวจะไม่มีอยู่เลยหากไม่มี “ทราย”
ทรายคือสิ่งที่อยู่ใต้พื้นทางเดินทุกรูปแบบที่ฉาบด้วยปูนซีเมนต์ ทรายอยู่ใต้ที่นั่งทำงานของคุณ ทรายอยู่ใต้พื้นถนนที่พวกเราใช้สอยอยู่เป็นประจำ ทรายคือหลังคาบ้านที่อยู่เหนือศรีษะของพวกเรา ทรายคือสารตั้งต้นของสังคมยุคใหม่!
คำถามที่ทิ้งท้ายไว้ก็คือ มนุษย์ยุคใหม่จะสร้างชีวิตและความเป็นอยู่ของประชากรโลกทั้ง 7 พันล้านคน และจะมากกว่านั้นอีกในอนาคต บนโครงสร้างที่แข็งแรงและมั่นคงมากกว่า ทราย ได้อย่างไรกัน!
หากคุณผู้อ่านทุกท่านที่ได้รีวิวบางประเด็นของหนังสือเล่มนี้แล้ว อยากให้ทางผู้เขียนรีวิวสานต่อเรื่องราวอันเข้มข้มของทั้งเล่ม และอยากสนับสนุนให้ส่งตีพิมพ์ กรุณาส่งอีเมล์ถึงเราได้ที่ karn@feunfoo.org ได้ทุกเมื่อ หรือแม้แต่ต้องการวิจาร์ณ์งานรีวิวหนังสือชิ้นนี้ก็สามารถติดต่อเข้ามาได้เช่นกัน ไว้เจอกันอีกในบทรีวิวหนังสือเล่มหน้า!
คุณชอบบทความชิ้นนี้ไหม? ถ้าบทความแนว “มุ่งอธิบายแนวคิดเป็นองค์รวม” มีประโยชน์ต่อคุณอยู่บ้าง สามารถร่วมสนับสนุนงานเขียนของเราได้ ผ่านการส่งปัจจัยบริจาค (ตามคุณค่าที่คุณได้รับ) งานเขียนแนวนี้เกิดขึ้นมาจากความตั้งใจที่เรามุ่งสร้างความเข้าใจใหม่ที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นให้กับผู้คนในสังคม ด้วยการสละเวลาส่วนตนของเราเองเพื่อเป็นกระบอกเสียงในแบบที่แตกต่างไปจากมุมมองเดิมในอดีต ติดต่อส่งความคิดเห็น หรือ อยากวิเคราะห์วิจารณ์งานเขียนได้โดยตรงที่อีเมล์ amoolnam@gmail.com หรือต้องการส่งปัจจัยบริจาคให้กับโครงการอิสระของเรา โครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์ธรรมชาติ สวนฟื้นฟูวิถียั่งยืน ได้โดยสแกนคิวอาร์โคดด้านล่างนี้ โครงงานของเรายังอยู่ในระยะเริ่มต้น ซึ่งไม่มีรายได้เป็นประจำ เราขอขอบคุณทุกท่านมากยิ่งที่สนับสนุนผลงานของเรา ทุกการบริจาคถือเป็นแรงผลักดันให้เราได้ศึกษาค้นคว้างานวิจัย เขียนบทความ แปลงาน และแบ่งปันความรู้ในแบบองค์รวมให้กับผู้คนในสังคมสืบต่อไป!
