
กินอะไรดี ถ้าอาหารในร้านค้าหมด
มาดูวิธีการเรียบง่าย ใช้ในระดับท้องถิ่น กับเรื่องระบบความยืดหยุ่นทางอาหาร และความมั่นคงทางอาหารในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ตอนที่ 1 การทำสวนป่าอาหาร – เราเรียนรู้อะไรจากธรรมชาติได้บ้าง (Creating a Food Jungle – What Nature can teach us)
บทคววามตอนนี้คือฉบับย่อ หากต้องการอ่านฉบับเต็มกับรายละเอียดเพิ่มเต็มที่ชัดเจนยิ่งกว่าคลิกที่นี่
หมายเหตุ: บทความตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของบทความทั้งชุด ซึ่งเราพาไปสำรวจหาหนทางออกสำหรับมรสุมปัญหาที่เราเผชิญกันอยู่ทุกวันนี้ คลิกอ่านบทก่อนหน้าที่นี่ตอน Zero: บทนำ – ปัญหาคืออะไร? (What’s the Problem?)
หรือคลิกกลับไปยังหน้าแรกพร้อมสารบัญทั้งหมดที่นี่
ถ้าเราต้องการได้อาหารมากกว่า แต่อยากทำงานน้อยๆ เราจะต้องค้นหาวิถีทางเพื่อร่วมมือกันกับธรรมชาติ และทำงานร่วมกันเพื่อเป้าหมายเดียวกัน แต่จริงๆแล้วธรรมชาติต้องการอะไร?

ในสภาพภูมิอากาศเขตร้อนของเรา (tropical climate) และการมีปริมาณน้ำฝนที่เพียงพออยู่แล้ว ธรรมชาติมุ่งมั่นที่จะสร้าง ผืนป่า นี่คือสิ่งที่ธรรมชาติต้องการ และนี่ก็คือสิ่งที่เราควรจะทำด้วยเช่นกัน ถ้าเราได้ช่วยเหลือธรรมชาติในกระบวนการนี้ เราก็จะมีผู้ช่วยสำคัญที่ทำงานขั้นพื้นฐานในด้านแหล่งอาหารของตน “เอะ แต่เรากินต้นไม้ไม่ได้นิ” คุณอาจจะคัดค้านมา และมันก็จริงอยู่ กล่าวคือ เราไม่ได้คิดว่ามันจะมีแค่ป่า แต่มันคือ สวนป่าอาหาร Food Jungle ซึ่งมีพืชพรรณทุกชนิด ได้แก่ ต้นไม้ใหญ่บนชั้นเรือนยอดของป่า พันธุ์ไม้ป่าชั้นที่สอง ไม้พุ่ม พันธุ์ไม้ตระกูลปาล์ม ไม้ไผ่ ไม้เลื้อยไม้เถา พืชสมุนไพร พืชกินหัว ซึ่งทั้ง ดูเหมือน และ ใช้งาน คล้ายกันกับผืนป่า ขณะเดียวกันในสวนป่าอาหารก็จะอัดแน่นไปด้วยพืชพรรณป่าหลากหลายชนิด และพืชปลูกที่กินได้ ในการที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางระบบนิเวศขึ้นได้ในระยะยาว ร่วมกันกับการเพาะปลูกอาหารในประเทศเขตร้อน สิ่งที่ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดก็คือ การเลียนแบบป่าฝน (Rainforest) หรือ ผืนป่าหนาทึบในเขตร้อนซึ่งมีฝนตกชุกมาก

ตามที่เราได้กล่าวถึงไปแล้ว (ดูในตอน Zero บทนำ) สภาวะอากาศเปลี่ยนรุนแรงสุดขั้ว อย่างเช่น ภัยน้ำท่วม ภัยแห้งแล้ง ภัยไฟป่า และภัยพายุกระหน่ำ ถูกกำหนดไว้อย่างตายตัวแล้วว่าจะเพิ่มสูงขึ้นนับจากนี้เป็นต้นไป และปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นแบบดังกล่าวจะทำลายเกษตรกรรมเชิงเดี่ยวต่างๆ หรือ monocultures ไปได้ง่ายๆ พืชชนิดแรกที่จะโดนหนักสุด และได้ผลผลิตลดน้อยลงจะเป็นพืชเกษตรจำพวกข้าว และปกติแล้วก็จะเป็นพืชทุกอย่างที่เพาะปลูกด้วยวิธีการเชิงเดี่ยว ตามหลักการโดยทั่วไปแล้ว การปลูกพืชไม้ผล (tree crops) จะมีความปลอดภัยคงทนมากกว่า การปลูกหญ้าอายุสั้น อย่าง ข้าว ดังนี้:
- ต้นไม้มีรากลึกกว่า และจึงเข้าถึงน้ำที่อยู่ลึกกว่าในดินได้
- ต้นไม้ไม่โค่นล้มง่ายนัก ในช่วงมีมีพายุเข้า (โดยเฉพาะถ้าต้นไม้ถูกยึกเกาะไว้ด้วยระบบรากอันแน่นหนาของรากไม้ต้นอื่นที่อยู่ใกล้ๆกัน)
- ต้นไม้จะยังคงอยู่เหนือน้ำในกรณีเกิดน้ำท่วม
- ใช้แรงงานค่อนข้างน้อยสำหรับการปลูก ดูแล และเก็บเกี่ยว (เมื่อเปรียบเทียบกับปลูกข้าว)
- เพิ่มผลผลิตอย่างมั่นคงเป็นหลายปี โดยไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำงานเพิ่มเติมไปในตัว (นอกจากเรื่องการนำไปประกอบอาหาร)
- ต้นไม้กักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศไว้ในต้นได้ในปริมาณมากกว่า (ขอบอกเป็นนัยว่า มันคือแนวทางรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ)
- ต้นไม้ให้ร่มเงาและจึงทำให้มีสภาพอากาศเฉพาะพื้นที่เย็นกว่า
- ต้นไม้ทำให้เมฆก่อตัวกันอย่างเต็มที่ผ่านกระบวนการคายระเหยเป็นไอน้ำ และจึงช่วยทำให้มีฝนตกทั่วพื้นที่ไกลจากชายฝั่ง
- ต้นไม้เป็นแหล่งอาหารและเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์อื่นที่ไม่ใช่มนุษย์ได้อีกมากมายหลายสายพันธุ์
- ต้นไม้เป็นแหล่งหลักของวัสดุใช้สอยประโยชน์ด้านอื่นและผลิตภัณฑ์ต่างๆ (เช่น ใช้ทำฟืน ยางไม้ น้ำยางไม้ น้ำมัน เปลือก เส้นใยไม้ ใช้เป็นยาสมุนไพร ใช้เลี้ยงสัตว์ เป็นแหล่งชีวมวล และท้ายที่สุดก็ใช้สอยเป็นไม้ซุง)
ฉะนั้น การลดการพึ่งพาเพียงข้าวเป็นหลัก และลดการพึ่งพาพืชเศรษฐกิจอื่นๆลงอย่างรุนแรง จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำอย่างยิ่ง เพื่อจะยังมีอาหารกินกันสำหรับผู้คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ (และในภูมิภาคอื่นๆด้วยที่มีสภาพอากาศคล้ายคลึงกัน) และใช้วิธีการสร้างความหลากหลายของแหล่งอาหารหลัก ที่ประกอบขึ้นด้วย พืชพันธุ์ไม้ (tree crops) (หรือพืชเศรษฐกิจที่เติบโตได้ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นป่า กล่าวคือ ต่อจากนี้ไปเราจะอ้างถึงประเด็นเหล่านี้เป็นแบบ พืชที่โตได้ในสภาพป่า forest crops) ที่ทำการเพาะปลูกได้ง่ายๆ ให้ผลผลิตสูง เป็นพืชอายุยืนหลายปี มีความยืดหยุ่นต่อสภาพอากาศรุนแรงสุดขั้ว อุดมไปด้วยสารอาหาร ให้คุณค่าทางพลังงานสูง ใช้ประกอบอาหารกิน หรือ เก็บไว้กินได้ง่าย และเป็นอาหารทางเลือกที่กินได้อย่างเอร็ดอร่อย!
เพื่อความชัดเจนตรงกัน เราไม่ได้ต้องการให้คุณหยุดรับประทานข้าวแต่อย่างใด เราเพียงแต่แนะนำว่ามันมีความปลอดภัยสูงกว่าในระยะยาว ถ้าหากสามารถ ลดการพึ่งพาอาหารประเภทข้าวลงไปได้ทีละน้อยๆ และแทนที่มันด้วยการปลูก พืชที่โตได้ในสภาพป่า หรือ forest crops การพึ่งพาอาหารประเภทข้าวอย่างหนักในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือผลลัพธ์จากการบังคับขู่เข็นของรัฐและจากทางวัฒนธรรมในอดีตเป็นต้นมา
แล้วเราจะกินอะไรถ้าไม่กินข้าว? มีคำตอบแสนเรียบง่ายให้ แต่ก่อนอื่นคุณจะต้องโยนทิ้งความมีอคติลึกๆในใจจากอาหารประเภทข้าวไป ที่มันทำให้เราอยากกินข้าวอีก และก็กินข้าวเป็นอาหารหลักของทุกมื้อๆ
เหตุผลที่ข้าวคืออาหารหลักทุกวันนี้ก็คือผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่ทางการทำอาหารกิน ข้าวไม่ได้ทำให้คุณ “อิ่มท้องมากกว่า” อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตสูงชนิดอื่นๆเลย และมันก็ไม่ได้อุดมไปด้วยสารอาหารพิเศษเมื่อเทียบกับอาหารประเภทอื่น นอกจากนี้แล้ว การเพาะปลูกข้าวจำเป็นต้องทำงานมากยิ่งกว่าเพาะปลูกพืชอาหารหลักประเภทอื่นอีกด้วย นี่คือเหตุผลว่าทำไมรัฐแรกเริ่มของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงเป็นที่รู้จักกันในนาม “รัฐที่ปลูกข้าว หรือ grain states” และจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมยุคก่อนถึงไม่เคยเป็น “รัฐที่ปลูกมันสำปะหลัง” หรือ “รัฐที่ปลูกขนุนสาเก” *(โปรดอ่านบทความฉบับเต็มเพื่อดูตัวอย่างเหตุการณ์ของประเด็นนี้)
ถ้าเราอยากรู้ว่าผู้คนจะอยู่รอดกันได้อย่างไรหากไม่ทำนาปลูกข้าว เราก็แค่ต้องมองย้อนไปยัง สังคมชนพื้นเมืองทั้งหลายว่า พวกเขากินอะไรกันในภูมิภาคนี้ ชนเผ่าดั้งเดิม หรือ กลุ่มชนผู้ที่อาศัยอยู่ก่อนยุคทำเกษตรกรรมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กินอาหารอย่างหลากหลายมากๆ ซึ่งเปรียบเทียบได้กับ ชนเผ่าชาวเขาชาวดอยหลายกลุ่มในยุคใหม่ (modern-day hilltribes) และชนล่าสัตว์และเก็บของป่า (hunter-gatherers) วิถียังชีพเช่นนี้ทำให้มีทั้งความสมบูรณ์แข็งแรงมากกว่า และยังใช้แรงทำงานน้อยกว่า สิ่งที่เราแนะนำก็คือ เราเพียงไปสำรวจดูว่า ทำไมวิถีชีวิตของชนพื้นเมืองถึงใช้งานได้ (และยังใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง) วิถีชีวิตเช่นนี้จะยังใช้งานได้แม้แต่กับในยามที่สภาพอากาศแปรปรวนไม่มั่นคง และขณะเดียวกันในภูมิภาคที่ปลูกเพียงข้าว มันกลับส่งผลให้เกิดภาวะอดอยากตามมา *(ในบทความฉบับเต็มตอนนี้จะยกตัวอย่างวิถียังชีพของชนพื้นเมืองในประเทศมาเลเซียมาให้ดู เพื่อจะเข้าใจภาพรวมตอนที่เราใช้คำว่า สวนป่าอาหาร Food Jungle!)
ทั้งหมดที่เราได้เรียนรู้มาจากทำเกษตรด้วยวิถีทางธรรมชาติได้มอบอะไรให้กับเราไว้บ้างนั้น และทำไมวิธีการปลูกไม้ผลและพันธุ์ไม้ป่า รวมถึงการปลูกพืชพรรณป่าต่างๆ ถึงเป็นวิธีการที่ดีกว่าและปลอดภัยยิ่งกว่า และกระทำได้ง่ายกว่าเมื่อเทียบกับการปลูกข้าว แต่คำถามก็ยังคงค้างคาอยู่ว่า: แล้วเราจะทำการ ปลูกสวนป่าอาหาร กันอย่างไร และต้องพิจารณาถึงหลักการสำคัญๆใดบ้างล่ะ? ความแตกต่างอย่างหนึ่งที่ชัดเจนมากที่สุดเลย ระหว่างการเพาะปลูกเกษตรกรรมทั่วไป และในแบบปลูกเป็นสวนป่า ก็คือ ความหลากหลาย หรือ diversity เรื่องความหลากหลาย (Diversity) คือหัวใจสำคัญของหลักการซึ่งเราจะกล่าวย้ำซ้ำไปมาอยู่ตลอดทั้งบทความชุดนี้ ความหลากหลาย หมายถึง ความมั่นคง และการทำให้เกิดความหลากหลาย หมายถึง การทำงานของธรรมชาติ!


การปลูกพืชหลายสายพันธุ์อยู่รวมกันอย่างหนาแน่น จะสร้างระบบนิเวศที่มั่นคงและมีความยืดหยุ่นได้มากยิ่งกว่า พื้นดินทั้งหมดถูกปลกคลุมไว้ด้วยพืชพรรณ (ซึ่งช่วยลดการระเหยและลดอุณภูมิในดิน) และพืชบางชนิดพันธุ์ อย่าง กล้วย หรือ ต้นนุ่น จะปล่อยน้ำไปตามดินและแบ่งปันน้ำให้พืชต้นอื่นๆ ช่องว่างระหว่างต้นถูกใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิทภาพ เนื่องจากว่าต้นที่โตต่างกัน ก็จะเข้าไปเติมเต็มระดับชั้นของ สวนป่าอาหาร กล่าวคือ แทนที่จะมีแค่พืชเติบโตอยู่เพียงชั้นเดียว คุณก็จะมีป่าเป็นห้าชั้นหรือมากกว่านั้น สวนป่าอาหาร ที่จำลองออกแบบไว้ตามระบบนิเวศธรรมชาติ ควรมุ่งรวมเอาชนิดพืชป่าและพืชพันธุ์อื่นๆเข้าด้วย (มากกว่าที่จะมุ่งปลูกเพียงพืชเลี้ยง) เนื่องจากว่าทั้งพืชป่าและพืชพันธุ์ที่ปลูกจะแข็งแรงทนทานและอุดมไปด้วยสารอาหารมากกว่า พืชที่อ่อนแอมากสุดก็คือพืชที่เพาะปลูกเป็นอาหารของการบริโภคในยุคใหม่ พืชเหล่านี้จะเป็นพืชกลุ่มแรกที่จะปลูกต่อไปได้อย่างยากลำบาก แล้วก็ปลูกต่อไปอีกไม่ได้ตามที่สภาวะโลกร้อนดำเนินต่อไป เราจะกลับมาที่เรื่อง อาหารป่า (wild foods) ในตอนที่ 6 ของบทความชุดนี้
แต่แล้วคุณจะเริ่มจากตรงไหนดีล่ะ? เราจะพูดถึงรายละเอียดที่กว้างขึ้นเกี่ยวกับ “พืชที่สำคัญสุด very important plants” หรือ (VIPs) ในตอนหลังๆ แต่ถ้าอยากได้แรงบันดาลใจไว้สักหน่อย ก็เริ่มต้นได้กับการปลูกกล้วย (Bananas) จะดีสุด (ปลูกทั้งกล้วยเฉพาะชนิดและปลูกล้วยหลายสายพันธุ์ไว้เยอะๆ เพื่อเพิ่มปุ๋ยชีวมวล ให้ร่มเงา และออกผลให้กินได้ภายในเวลาหนึ่งปี) พืชถั่วต่างๆ หรือ Beans (เติบโตร่วมกันกับต้นกล้วยได้ดีมาก มันช่วยตรึงธาตุไนโตเจน ดูตอนที่ 4) ขนุน Jackfruit (เป็นแหล่งอาหารหลัก ดูตอนที่ 2) ปลูกไม้ไผ่สักสองสายพันธุ์เป็นอย่างน้อย (พันธุ์เล็กและพันธุ์ใหญ่ ไว้ใช้เป็นวัสดุก่อสร้าง และไว้เก็บหน่อไม้กินเป็นอาหาร) ปลูกไม้วงศ์ถั่ว tree legumes (เช่น ต้นกระถิน หรือ Leucaena สำหรับช่วยตรึงธาตุไนโตเจนในอากาศ ช่วยเพิ่มชีวมาล ด้วยวิธีการสับแล้วทิ้งใส่ หรือ chop-and-drop และเพื่อปกคลุมพืชเลื้อยเอาไว้) ปลูกต้นไม้ป่าขนาดใหญ่ไว้ด้วยสักหน่อย (พันธุ์ไม้วงศ์ยาง Dipterocarps หรือพันธุ์ไม้วงศ์ถั่ว legumes เพื่อเพิ่มความสมบูรณ์ของดิน เพิ่มระดับชั้นของป่า ขยายร่มเงา และดึงดูเชื้อเห็ดรา mycorrhizal fungi) ปลูกมันห้านาที Cassava (เพื่อจะได้มีอาหารหลักชนิดแรก ซึ่งพร้อมให้เก็บกินได้ภายในเวลา 6 เดือน ดูตอนที่ 3) ปลูกมันหวานหรือมันเทศ Sweet Potatoes (เพื่อคลุมพื้นดินเอาไว้ ดูตอนที่ 3) และปลูกหัวเผือกหัวมัน Yams ไว้หลายๆชนิด เพื่อเป็นพืชกินหัว อยู่ในดูตอนที่ 3 ด้วย)
การขุดบ่อน้ำไว้ใช้ แม้จะเป็นบ่อสระเล็กๆก็มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพื่อเก็บน้ำไว้ใช้สอยทั้งปี และมันช่วยเติมน้ำให้กับน้ำชั้นใต้ดินอย่างสม่ำเสมอ ช่วยยกระดับระบบนิเวศขึ้นอีกมิติหนึ่ง สร้างแหล่งอยู่อาศัยเพิ่มขึ้น และเป็นแหล่งที่ปล่อยให้พืชน้ำเติบโตเป็นอย่างดี อย่าง ผักบุ้ง ผักกระเฉดน้ำ และสัตว์น้ำ อย่าง กุ้ง หอย ปู ปลา กบเขียด ปลาไหล เป็นต้น คุณอาจจะอยากเลี้ยงไก่บ้านไว้กินด้วยสักหน่อย และเพื่อนำเอาเศษอาหารที่เหลือไปเลี้ยงไก่ต่อได้อีกด้วย จุดนี้คุณคงเห็นแล้วว่า มันไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด มันก็คล้ายๆกันกับตามที่รุ่นพ่อแม่ ปูย่าตายาย ของเราที่เคยดำรงชีวิตอยู่มานั่นเอง! แล้วทำไมต้องเสาะหาทางออกใหม่ๆอีก ถ้าวิถีชีวิตในอดีตก็ประสบผลสำเร็จมาอย่างมีประสิทธิภาพอยู่แล้ว?
แต่เดี๋ยวค่อยมาตามดูวิธีการเชิงเทคนิคในตอนหน้ากันอีกเร็วๆนี้!
หมายเหตุ: บทความตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของบทความทั้งชุด ซึ่งเราพาไปสำรวจหาหนทางออกสำหรับมรสุมปัญหาที่เราเผชิญกันอยู่ทุกวันนี้ เราจะลงบทความตอนต่อไปเป็นระยะๆ คลิกอ่านต่อที่นี่ ตอนที่ 2: ความหลากหลายของอาหารหลัก – ขนุน และผลไม้ตระกูลขนุน (Jackfruit and Artocarpus ssp.)
หรือคลิกกลับไปยังบทนำได้ที่นี่
คุณชอบบทความชิ้นนี้ไหม? ถ้าบทความแนว “มุ่งอธิบายแนวคิดเป็นองค์รวม” มีประโยชน์ต่อคุณอยู่บ้าง สามารถร่วมสนับสนุนงานเขียนของเราได้ ผ่านการส่งปัจจัยบริจาค (ตามคุณค่าที่คุณได้รับ) งานเขียนแนวนี้เกิดขึ้นมาจากความตั้งใจที่เรามุ่งสร้างความเข้าใจใหม่ที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นให้กับผู้คนในสังคม ด้วยการสละเวลาส่วนตนของเราเองเพื่อเป็นกระบอกเสียงในแบบที่แตกต่างไปจากมุมมองเดิมในอดีต ติดต่อส่งความคิดเห็น หรือ อยากวิเคราะห์วิจารณ์งานเขียนได้โดยตรงที่อีเมล์ amoolnam@gmail.com หรือต้องการส่งปัจจัยบริจาคให้กับโครงการอิสระของเรา โครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์ธรรมชาติ สวนฟื้นฟูวิถียั่งยืน ได้โดยสแกนคิวอาร์โคดด้านล่างนี้ โครงงานของเรายังอยู่ในระยะเริ่มต้น ซึ่งไม่มีรายได้เป็นประจำ เราขอขอบคุณทุกท่านมากยิ่งที่สนับสนุนผลงานของเรา ทุกการบริจาคถือเป็นแรงผลักดันให้เราได้ศึกษาค้นคว้างานวิจัย เขียนบทความ แปลงาน และแบ่งปันความรู้ในแบบองค์รวมให้กับผู้คนในสังคมสืบต่อไป!

No comments.